การลงคะแนนล่าสุดของสมาชิกพรรคพรรครีพับลิกันที่ประชุมกันในวันนี้โหวตให้ "บิทคอยน์" ถูกบรรจุเข้าไปในแผนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเป็นทางการ หวังช่วยเรียกคะแนนจากผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้นายทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง กลับมานั่งเก้าอี้ ปธน.อเมริกาอีกรอบ
จากการเปิดเผยของ เดอะฮิลล์ ระบุว่า สมาชิกพรรคพรรคลงคะแนนโหวตบิทคอยน์เข้าสู่ แผนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเป็นทางการของพรรคในการประชุมกันวันนี้ โดยพรรครีพับลิกันมีเป้าหมายที่จะ "เพิ่มการยืดหยุ่นในอุตสาหกรรมคริปโต และการปราบปรามคริปโต" พร้อมทั้งเตรียมที่จะยกเครื่องพิจารณาทบทวนด้านกฎระเบียบ และสนับสนุนสิทธิด้านต่างๆในแพลตฟอร์มใหม่ซึ่งกำหนดจะมีการลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายในวันที่ 9 กรกฎาคม
การรวมบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลเข้ามานั้น สะท้อนถึงคำกล่าวล่าสุด ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคที่มุ่งสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อคเชน ตามเอกสารของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน (RNC) โดยระบุว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวขัดขวางการสร้างสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง และมุ่งมั่นที่จะปกป้องสิทธิในการขุดบิทคอยน์ ซึ่งจุดยืนของ RNC มุ่งหวังที่จะปกป้องสิทธิของแต่ละบุคคลในการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยตนเองและดำเนินธุรกรรมโดยปราศจากการกำกับดูแลของรัฐบาล
แพลตฟอร์มดังกล่าวได้ระบุมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมและปกป้องกิจกรรมด้านคริปโตในสหรัฐอเมริกา โดยประณามแนวทางการควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลของรัฐบาลชุดปัจจุบัน พร้อมสัญญาว่าจะยุติสิ่งที่เรียกว่า "การปราบปรามคริปโตที่ผิดกฎหมายและไม่ใช่ของอเมริกัน" ของพรรคเดโมแครต ซึ่งพรรครีพับลิกันโต้แย้งว่ากฎระเบียบดังกล่าว ขัดขวางนวัตกรรมและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาบล็อคเชนและคริปโต นอกจากนี้พรรครีพับลิกันมุ่งหวังที่จะวางตำแหน่งสหรัฐอเมริกาให้เป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้นใหม่
อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะมีเพียงย่อหน้าเดียวในเอกสาร 16 หน้า แต่แพลตฟอร์มดังกล่าวระบุอย่างชัดเจนว่า
“พรรครีพับลิกันจะยุติการปราบปรามคริปโตของพรรคเดโมแครตที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่อเมริกัน และคัดค้านการสร้างสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง เราจะปกป้องสิทธิในการขุดบิทคอยน์ และรับรองว่าชาวอเมริกันทุกคน มีสิทธิ์ในการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง และทำธุรกรรมได้โดยไม่ถูกติดตามและควบคุมจากรัฐบาล”
ไรอัน เซลกิส ซีอีโอของ Messari ประกาศแยกตัวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) เมื่อไม่นานนี้ โดยวิพากษ์วิจารณ์แนวทางที่เข้มงวดของหน่วยงานกำกับดูแลและกล่าวหาว่าหน่วยงานดังกล่าวมีการทุจริตภายใต้การนำของนายแกรี่ เจนสเลอร์ โดย เซลกิส ประกาศว่า Messari จะยุติการทำงานร่วมกับ SEC ทั้งหมด โดยอ้างถึงความล้มเหลวของหน่วยงานกำกับดูแลในการป้องกันการฉ้อโกงที่ FTX, Celsius และ Genesis และระบุว่าการฟ้องร้องบริษัทคริปโตมีแรงจูงใจทางการเมือง นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะท้าทายความชอบธรรมของ SEC ในศาลและผ่านรัฐสภา โดยให้เหตุผลว่าคำตัดสินของศาลฎีกาเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้อำนาจของ SEC ในการควบคุมตลาดคริปโตอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตามการที่แพลตฟอร์มนี้รวมเอาประเด็นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาด้วยนั้น และเน้นย้ำถึงความสำคัญทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล และการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นการตอบสนองต่อความสนใจและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ชาวอเมริกัน อีกทั้งยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นในตลาดการเงินโลก โดยการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สร้างความหวังให้ RNC ว่าจะสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับฐานเสียงที่มองการณ์ไกลและเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และนักลงทุนที่มองว่าเทคโนโลยีบล็อคเชนเป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บิทคอยน์รายใดก็ตามที่หวังว่าบิทคอยน์ จะสามารถกลายเป็นสินทรัพย์สำรองของโลกอาจจะต้องผิดหวัง เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวระบุว่า ในเมืองหลวงทุกแห่งที่ตั้งใจที่จะทำให้แน่ใจว่าดอลลาร์จะยังคงเป็นสกุลเงินสำรองของโลก และประเทศเหล่านั้นให้การสนับสนุนสหรัฐอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“สิทธิ์ที่ต้องการจะได้ตามเงื่อนไข เมื่อให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินสำรองของโลกต่อไป”
การผนวกรวมนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าในแพลตฟอร์ม RNC ถือเป็นก้าวสำคัญใน การยอมรับสกุลเงินดิจิทัลอย่างแพร่หลาย โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแลแล้วและการลงคะแนนเสียงในวันนี้จะทำให้บิทคอยน์สกุลเงินดิจิทัลอันดับ 1 ของโลกกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง และการลดการใช้อำนาจของรัฐบาลในการควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล กลายเป็นส่วนนึงของนโยบายอย่างเป็นทางการ ของนโยบายของพรรคสำหรับการเลือกตั้งในปี 2567 นี้