xs
xsm
sm
md
lg

“ติดล้อ โฮลดิ้งส์” ฐานทุนแกร่ง แม้เพิ่มทุนบ่อยกดดันราคาไดรูท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ติดล้อโฮลดิ้งส์” ฉลุย ผู้ถือหุ้นไฟเขียนแผนปรับโครงสร้าง หวังช่วยธุรกิจเติบโตในระยะยาว คาดไตรมาส 4 แล้วเสร็จ หลังรายได้-กำไรไตรมาสแรกตามเป้า ดันทั้งปีเพิ่มขึ้น 10-20% แต่โบรกยังกังวลตัวเลข D/E ที่สูง กดดันบริษัทต้องเพิ่มทุนต่อเนื่องทำราคาหุ้นไดรูท แต่คาดครี่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวหนุนธุรกิจ หนำซ้ำฐานทุนแกร่ง ช่วยครองความเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อรถ

เป็นอันเรียบร้อย สำหรับแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เมื่อ “ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล” กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ออกมาเปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (e-EGM) ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ โดยมีการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดแห่งใหม่ คือ บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TIDLOR Holdings Public Company Limited) (ติดล้อ โฮลดิ้งส์) ขึ้น เพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) ซึ่งหลังจากที่บริษัท ได้รับการอนุมัติในเบื้องต้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.ให้เสนอขาย หุ้นที่ออกใหม่แล้ว โดยบริษัทจะดำเนินการ ให้ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ ทำคำเสนอซื้อ หลักทรัพย์ทั้งหมดของTIDLOR จากผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัท ในอัตราการแลกหลักทรัพย์ 1 หุ้นสามัญของบริษัท ต่อ 1 หุ้นสามัญของ “ติดล้อ โฮลดิ้งส์”

 ไตรมาส4 “โฮลดิ้งส์” เข้าเทรด

กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR กล่าวถึงขั้นตอนต่อไปเพื่อให้การปรับโครงสร้างลุล่วง โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2567 ซึ่ง “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” จะยื่นขอนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แทนหลักทรัพย์ของบริษัท ซึ่งจะถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในวันเดียวกัน และจะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์แบบเดิม นั่นคือ “TIDLOR”

"การปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการในครั้งนี้ ถือเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาว เนื่องจากทำให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจทั้งด้านสินเชื่อและนายหน้าประกันเพิ่มขึ้น การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการหรือการร่วมลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับภาพรวมธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันจะช่วยให้สามารถบริหารและจำกัดความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจที่มีลักษณะต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้นอีกด้วย"

นอกจากนี้ มีรายงานว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังได้อนุมัติการโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ InsurTech ได้แก่ AREEGATOR และ heygoody รวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้แก่บริษัทใหม่ที่จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ InsurTech ในอนาคต (บริษัทใหม่) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ ก่อนที่ “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทใหม่ในสัดส่วนร้อยละ 99.99

 Q1 รายได้-กำไรเติบโตเป้า

ก่อนหน้านี้ TIDLOR รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/67 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยทำกำไรสุทธินิวไฮ จำนวน 1,104.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% และมีรายได้รวม 5,309.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งธุรกิจสินเชื่อและนายหน้าประกันภัย รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ทำให้พอร์ตสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/67อยู่ที่ 100,133.3 ล้านบาท ขยายตัว 20.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อรวม ทั้งช่องทางออฟไลน์ผ่านสาขามากกว่า 1,700 แห่งทั่วประเทศและช่องทางอื่นๆ เช่น พนักงานขายทางโทรศัพท์ (Telesales) ตัวแทนและช่องทางออนไลน์

โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจมาจากการลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้ง "บัตรติดล้อ" (Tidlor Card) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 ได้มีการส่งมอบแก่ผู้ใช้บริการแล้วกว่า 666,000 ใบ รวมถึงบริการโอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่นเงินติดล้อ ซึ่งมีปริมาณการใช้งานขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (%NPL) อยู่ที่ระดับ 1.6% เป็นไปตามกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังคงอัตราส่วนเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL Coverage ในระดับสูงที่ 264%

ส่วนด้านธุรกิจนายหน้าประกันยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/67บริษัทฯ มียอดเบี้ยประกันวินาศภัยมูลค่า 2,549.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเติบโตได้ดีทั้งช่องทางออฟไลน์ และเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเสนอขายประกันออนไลน์ (อารีเกเตอร์) ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน

 ปี 67 เติบโตทุกธุรกิจ “ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 1/67 ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ และใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีนำมาต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุม ตรงกับความต้องการ รวมถึงเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว” “ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ แสดงความเห็น

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2567 เชื่อว่ากลยุทธ์ที่วางไว้จะทำให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมเดินหน้าบริหารธุรกิจให้เติบโตที่ระดับ 10-20% ทั้งธุรกิจสินเชื่อและนายหน้าประกัน เพื่อสร้างพื้นฐานการเติบโตให้กับ TIDLOR ได้อย่างยั่งยืน

ทุนแกร่ง-เป็นผู้นำสินเชื่อรถ

ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้คงอันดับเครดิตองค์กร TIDLOR ที่ “A/Stable” (คงที่) โดยมีมุมมองว่า อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบในทันที จากการประกาศปรับโครงสร้างองค์กรและการถือหุ้น โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่า บริษัทจะยังคงรักษาฐานทุนที่แข็งแกร่งและสถานะผู้นำในตลาดสินเชื่อทะเบียนรถเอาไว้ได้ และยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ นอกจากนี้ ยังคาดว่า บริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้อีกด้วย

สำหรับการที่บริษัทได้รับการคงอันดับเครดิตที่ “A/Stable” ถือเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพราะความน่าเชื่อถือส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทในการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ ซึ่งอันดับเครดิตที่ A จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade ที่นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ให้ความสนใจและสามารถลงทุนได้ และยังสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ดี

ขณะที่องค์กรที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ดีกว่าจะมีแนวโน้มที่จะออกตราสารหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจโตช้ากว่า ส่งผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่ภาวะดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งบริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน

ขณะเดียวกัน “ทริสเรทติ้ง” จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 4 ปี ซึ่งรวมหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมจำนวน 2 พันล้านบาท ของ TIDLOR ที่ระดับ "A" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากไปจ่ายชำระคืนหนี้และขยายธุรกิจ

พร้อมคงอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ซึ่งอันดับเครดิตได้รับการปรับเพิ่มขึ้นมา 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile - SACP) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ "a-" สะท้อนถึงมุมมองที่มีต่อสถานะของบริษัทว่าเป็นบริษัทในเครือที่มี“ความสำคัญในเชิงกลยุทธ์” ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY อันดับเครดิต “AAA/Stable”) เมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจาก BAY อย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านี้อันดับเครดิตเฉพาะสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง มีการบริหารความเสี่ยงที่ระมัดระวัง รวมถึงมีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพออีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการอ่อนตัวของคุณภาพสินทรัพย์และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นจนส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรอ่อนแอลงนั้นถือว่าเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตในระดับหนึ่ง

ส่วนผลประกอบการบริษัทในไตรมาส1/67 ที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ขณะที่การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านเครดิตถูกลดถอนลงไปจากการมีผลตอบแทนดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 17.7% ในไตรมาสแรกของปี 2567 จาก 17.4% ในปี 2566 และจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ดี

ส่วนต้นทุนทางการเงินนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ โดยอยู่ที่ 3.2% ในไตรมาสแรกของปี 2567 จาก 2.9% ในปี 2566 และคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.3-0.4% ในปีนี้แต่ในด้านของคุณภาพสินทรัพย์นั้น อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.60% ในไตรมาสแรกของปี 2567 จาก 1.45% ณ สิ้นปี 2566 คุณภาพสินเชื่อของบริษัทและคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันยังคงอ่อนตัวต่อไป ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีการตั้งสำรองที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่ง โดยบริษัทมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ระดับ 264% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567

ทั้งนี้ “ทริสเรทติ้ง” เชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาฐานทุนที่แข็งแกร่งและสถานะผู้นำในตลาดสินเชื่อทะเบียนรถเอาไว้ได้ในขณะที่ยังคงมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่น่าพึงพอใจ รวมถึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

 D/E สูงกดดันเพิ่มทุนต่อเนื่อง

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(KGI) แนะนำ “ถือ”หุ้นของ TIDLOR โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 21.20 บาท พร้อมประเมินว่าตอนนี้ TIDLOR อยู่ในช่วงที่ท้าทายกับประเด็นที่ยังค้างคาจากการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อแปลงสภาพเป็นบริษัท Holding ผ่านการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ (T/O) และกลับเข้ามาจดทะเบียนในตลาดใหม่ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567

อย่างไรก็ตามธุรกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยง NPL จากสินเชื่อเช่าซื้อ (H/P) รถบรรทุก โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TIDLOR เป็นนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นมากกว่า 50% ดังนั้น จึงถือว่าบริษัทมีสถานะเป็น "นิติบุคคลต่างชาติ" ซึ่งต้องดำเนินการภายใต้ ใบอนุญาตธุรกิจต่างชาติ (Foreign Business License หรือ FBL) และบริษัทต้องรักษาระดับสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 7.1 (ในไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 5.51)

นั่นเพราะจากสัดส่วนดังกล่าวที่ค่อนข้างสูง บริษัทจึงจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อรักษาระดับสัดส่วนนี้เอาไว้ไม่ให้เกินเพดาน โดยในช่วงปี 2564-2566 ทำให้ TIDLOR ได้ทำการเพิ่มทุนผ่านจากจ่ายหุ้นปันผลมาตลอด ซึ่งทำให้หุ้นเกิดไดลูชั่น 7% 11% 4% ในช่วงปี 2564-256

ปัจจุบัน TIDLOR รายงานว่าสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทใกล้จะชนเพดานแล้ว ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพื่อดึงสัดส่วนหนี้สินต่อทุนลงมา หรือไม่ก็ต้องลดขนาดธุรกิจลง ซึ่งตอนนี้ TIDLOR กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงที่บริษัทกำลังจะแปลงสภาพไปเป็นบริษัท Holding และช่วงเปลี่ยนผ่านอาจจะกินเวลายาวไปจนถึงสิ้นปี ถ้าหากการทำเทนเดอร์ และเพิกถอนออกจากตลาดเป็นไปตามกำหนด


ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายหนุนธุรกิจฟื้นตัว

ขณะที่ บล.กรุงไทยฯ (KTX) เปิดภาพรวมผลประกอบการกลุ่มการเงินที่ทำการศึกษา (MTC, SAWAD, TIDLOR, ASK, THANI) คาดว่าผลงานที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ จากการตั้งสำรองที่ลดลง โดยผลจากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ ประกอบกับเศรษฐกิจฟื้นตัวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐ ให้น้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาด” เลือก TIDLOR Outperform ราคาเป้าหมาย 21.87 บาท

ก่อนหน้านี้ ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มการเงินที่ทำการศึกษา (MTC, SAWAD, TIDLOR, ASK, THANI) โดยมองว่า ผลประกอบการกลุ่มการเงินมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2567 จากแนวโน้มการตั้งสำรองที่ลดลง และคุณภาพสินทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาและอุนมัติสินเชื่อใหม่ในปีที่ผ่านมา ช่วยลดความน่าจะเป็นที่ลูกหนี้จะผิดนัดชำระ ประกอบกับราคารถยนต์ใช้แล้วฟื้นตัวขึ้นจากปี 2566 พร้อมกับการปรับลด LTV (Loan to value) ทำให้การขาดทุนรถยึดมีอัตราที่ลดลง

รวมถึงปริมาณรถยึดที่เข้ามาในไตรมาส 1/67 โดยรวมมีแนวโน้มดีขึ้น ส่งผลให้ Loss given default (LGD) ปรับลดลง เสริมด้วยการปรับดีขึ้นของอัตราเก็บหนี้ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้หนุนจากการเร่งจ่ายงบประมาณภาครัฐ

ทำให้ฝ่ายวิจัยฯ คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียน อย่าง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือMTC บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR “มากกว่าตลาด” โดยคาดว่าจะเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในปีนี้ จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ และการเคลียร์งบดุลในช่วงที่ผ่านมา

พร้อมคงน้ำหนักกลุ่มเช่าซื้อรถบรรทุก บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI “เท่ากับตลาด” แม้การฟื้นตัวจะช้ากว่า แต่การเบิกจ่ายภาครัฐที่เร่งตัวในเดือน พ.ค. 2567 คาดว่าจะต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จะหนุนสภาพคล่องของผู้ประกอบการรถบรรทุก ช่วยลดแรงกดดันคุณภาพสินทรัพย์ โดยฯ เลือก TIDLOR (Outperform ราคาเป้าหมาย 21.87 บาท) เป็นหุ้นเด่นแทนSAWAD

“ภาพรวมสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในปี 2567 คาดว่าเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15% ชะลอตัวจากปีก่อนขยายตัวค่อนข้างเร็วและสูงเกือบ 20% ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงินให้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่จะเติบโตสูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ซึ่งจะมีข้อจำกัดในเรื่องของฐานเงินทุนและแหล่งเงินทุน

ขณะเดียวกันปีนี้ตลาดรถจักรยานยนต์ เก๋ง และกระบะ จะเริ่มค่อนข้างทรงตัว หลังจากมีความผันผวนปีก่อน ขณะที่กลุ่มรถบรรทุก จะเป็นกลุ่มที่มีความผันผวนต่อเศรษฐกิจมหภาค ทั้งราคาน้ำมัน งบประมาณที่มีผลต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ทำให้บริษัทที่เน้นกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบ


กำลังโหลดความคิดเห็น