xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยร่วงต่อสัปดาห์ที่ 2 ปิด -5.22 จุด เสี่ยงหลุดแนวรับ 1,300 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นไทยยังคงไหลลงอย่างต่อเนื่องปิดตลาดร่วง -5.22 จุด นักวิเคราะห์เผยแรงกดดันบรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยวันนี้เผชิญทั้งปัจจัยการเมืองกดดันภาพรวมเศรษฐกิจไทยโตช้า การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณยังไม่ชัดเจน อีกทั้งยังมีแรงขายในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเข้ามาถ่วงตลาด ประเมินแนวโน้มต้นสัปดาห์หน้ายังซึมต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยหลักจากประเด็นการพิจารณาคดีทางการเมือง 3 คดี อาจทำให้ภาคการลงทุนปรับตัวผันผวน เสี่ยงหลุด 1,300 จุด มองกรอบการลงทุนแนวต้านที่ 1,315 จุด ส่วนแนวรับ 2 ช่วงคือแนวรับแรก 1,300 จุด และถัดไปคือ 1,290 จุด

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 14 มิ.ย.2567 ปรับตัวลดลง -5.22 จุด หรือ -0.40% โดยปิดตลาดที่ 1,306.56 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 38,680.28 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีแกว่งตัวในทิศทางขาลง ซึ่งระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,315.70 จุด ในทิศทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,304.31 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 124 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 163 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 365 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -714.12 ล้านบาท และบัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -329.17 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +832.26 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +211.03 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.GULF มูลค่าการซื้อขาย 1,345.95 ล้านบาท ปิดที่ 39.00 บาท ลดลง 1.25 บาท
2.SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,257.04 ล้านบาท ปิดที่ 106.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
3.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,217.13 ล้านบาท ปิดที่ 79.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
4.AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,185.79 ล้านบาท ปิดที่ 60.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
5.MINT มูลค่าการซื้อขาย 1,043.76 ล้านบาท ปิดที่ 29.75 บาท ลดลง 0.50 บาท

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่ 211 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 0.96%
2.SCB ปิดที่ 106 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 41.44 %
3.DELTA ปิดที่ 79.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.59%
4.KBANK ปิดที่ 130 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.78%
5.BBL ปิดทึ่ 135 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.75%

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.AEONT ปิดที่ 130 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 2.62%
2.BH ปิดที่ 240 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 1.23%
3.GPSC ปิดที่ 40 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 5.88%
4.SAWAD ปิดที่ 36.50 บาท ลดลง 2 บาท หรือ 5.19%
5.SAPPE ปิดที่ 101 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.46%
5.EGCO ปิดที่ 101 .50 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.46%

(หุ้นที่ราคาปรับลดลงมากสุดอันดับ 5 และ 5% เท่ากับมี 2 ตัว SAPPE - EGCO )

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,780.40 จุด ลดลง -6.57 จุด หรือ -0.37% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 808.76 จุด ลดลง -1.80 จุด หรือ -0.22% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 355.91 จุด ลดลง -6.79 จุด หรือ -1.87%

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังปรับลงต่อ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน โดยมีแรงขายจากหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถ่วงตลาดหลังเปิดแผน PDP 2024 ฉบับใหม่ กำหนดกำลังการผลิตไฟฟ้าน้อยกว่าคาด ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างช้า และรายละเอียดของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ยังไม่ชัดเจน กดดันบรรยากาศการลงทุนต่อ รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยต้นสัปดาห์หน้าคาดซึมตัวต่อไปจากแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและประเด็นการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ตลาดอาจเลือกขายลดความเสี่ยง โดยในวันที่ 18 มิ.ย. จะมีการพิจารณาคดีทางการเมืองคดียุบพรรคก้าวไกล และคุณสมบัตินายกฯ เศรษฐา ทวีสิน รวมถึงการส่งฟ้องคดีนายทักษิณ ชินวัตร กระทำผิด ม.112 ส่งผลให้ดัชนีอาจผันผวน

"สำหรับคดียุบพรรคก้าวไกล เป็นประเด็นที่มีความไม่แน่นอนสูง หากคำตัดสินออกมาไม่ยุบพรรคดัชนีอาจรีบาวนด์ได้ แต่หากตัดสินยุบพรรค อาจเกิดความกังวลจากความไม่แน่นอนนอกสภา คาดว่าจะทำให้มีแรงขายถ่วงตลาดเพิ่มขึ้นอีก โดยมองกรอบแนวรับแรก 1,300 จุด ถ้าหลุดแนวรับแรกจะลงไปแนวรับถัดไปที่ 1,290 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,315 จุด" นายณรงค์เดช กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น