xs
xsm
sm
md
lg

กราน-มอนเต้ ผู้ผลิตไวน์สัญชาติไทย คว้ารางวัล Bai Po Business Awards 19 เผยวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ ชูแนวคิดเพื่อความยั่งยืนในอนาคต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มอบรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 19 ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีไทย ที่สร้างความแตกต่างทางธุรกิจได้อย่างโดดเด่น และสามารถพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้อยู่รอดในทุกสถานการณ์ ด้วยพลังผู้ประกอบการ ควบคู่ไปกับการมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืน

ในปีนี้ มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัล 5 ราย หนึ่งในนั้นคือ บริษัท กราน-มอนเต้ จำกัด ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในมิติองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business Practice), การบริหารจัดการด้านการสร้างตราสินค้าและการตลาด (Branding and Marketing) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)

คุณสุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์บริษัท กราน-มอนเต้ จำกัด ได้เผยถึงความรู้สึก ที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า “เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับรางวัลนี้ และดีใจที่ทุกคนได้เห็นถึงความตั้งใจในการบริหารธุรกิจอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน และเข้าใจถึงคุณค่าที่เราตั้งใจส่งต่อให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงผู้บริโภคด้วยค่ะ”

นอกจากนี้แล้ว คุณสุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ยังได้พูดถึงความเป็นมาของกราน-มอนเต้ พร้อมทั้งเผยถึงวิสัยทัศน์และแนวคิดทางธุรกิจ


ความเป็นมา กราน-มอนเต้ ผู้ผลิตไวน์สัญชาติไทย แห่งเขาใหญ่
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 จากไอเดียของคุณวิสุทธิ์ โลหิตนาวี และคุณสกุณา โลหิตนาวี ที่ตั้งใจซื้อที่ดินบริเวณหุบเขาอโศก เขาใหญ่ ไว้ทำไร่องุ่น และเป็นที่พักตากอากาศ อีกทั้งยังได้เล็งเห็นโอกาสและช่องว่างทางธุรกิจไวน์ที่ยังไม่แพร่หลายมากนัก จึงทำให้เกิดแนวคิดว่าอยากจะผลิตไวน์ดี ๆ ให้คนไทยได้ดื่ม กระทั่งเกิดเป็นธุรกิจครอบครัวขึ้นมา

“กราน-มอนเต้ เกิดขึ้นมาเมื่อ 25 ปีที่แล้ว จากความตั้งใจของคุณพ่อคุณแม่ ที่มีโอกาสได้เจอพื้นที่ที่เขาใหญ่ และซื้อที่ดินไว้ ประกอบกับท่านเป็นคนที่ชื่นชอบไวน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีความสนใจ จนได้มาเริ่มปลูกองุ่น ทำไวน์ และพัฒนาต่อยอดมาเรื่อย ๆ”

“ต้องบอกว่าตอนนั้นธุรกิจไวน์ไม่ใช่ของใหม่ แต่ถือเป็นอุตสาหกรรมใหม่สำหรับประเทศไทย ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจ จึงมองว่าเป็นช่องว่างในตลาดที่สามารถเติบโตได้ เพราะผู้เล่นในประเทศไทยค่อนข้างน้อย นี่คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มองตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำ”

ทั้งนี้ ที่มาของชื่อ กราน-มอนเต้ เป็นชื่อที่ได้มาจาก “มาลินี พีระศรี” ภรรยาของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นคนตั้งให้ เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่า “เขาใหญ่” นั่นเอง




25 ปี ที่ไม่ได้มีดีแค่ไวน์
25 ปี มาแล้ว กราน-มอนเต้ ไม่เพียงแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกองุ่นและทำไวน์เพียงเท่านั้น แต่กราน-มอนเต้ ยังมีศักยภาพและความพร้อมที่จะเติมเต็มธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ต่อยอดมาเป็นที่พัก ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร

“ตอนนี้กราน-มอนเต้มีพื้นที่ 300 ไร่ โดย 100 ไร่ เป็นไร่หลักของตัวเอง และพื้นที่ขยายการปลูกองุ่นอีก 200 ไร่ ที่ได้เช่าและเราเป็นผู้ควบคุมผลผลิต โดยอยู่ในพื้นที่เขาใหญ่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในไร่ มีร้านอาหารชื่อว่า VinCotto มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่จะพาทุกคนไปทัวร์ไร่องุ่น เรียนรู้การปลูกองุ่น ไปดูกรรมวิธีทำในโรงบ่ม มีห้องพักจำนวน 7 ห้องภายในไร่ ฯลฯ ด้วย”

ปัจจุบันกราน-มอนเต้มีทายาทรุ่นที่สอง คือ คุณนิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี ที่มีดีกรีเป็นถึงไวเมกเกอร์หญิงคนแรกของเมืองไทย และคุณมีมี่-สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ซึ่งทั้งคู่ถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ

“ยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มต้น เจอความท้าทายอยู่ตลอด ทั้งทางเทคนิค ทั้งเรื่องดินฟ้าอากาศ ทั้งเรื่องการเริ่มศาสตร์ใหม่คือการปลูกองุ่นและทำไวน์ในเขตร้อน แม้กระทั่งเรื่องการเมืองและกฎหมายของประเทศ ซึ่งก็ต้องเรียนรู้และพัฒนากันอยู่ตลอด”

“กราน-มอนเต้ ให้ความสำคัญที่สุดคือเรื่องการเรียนรู้ เราต้องมีพื้นฐาน และสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาปรับ ทดลองอะไรใหม่ ๆ รวมถึงเทคนิคการพัฒนา เทคนิคในโรงบ่มไวน์ให้เหมาะกับดินฟ้าอากาศของเรา ทำให้รสชาติ กลิ่น มีเอกลักษณ์ ในเรื่องของบุคลากรเราต้องสร้างทีมให้เขาเชี่ยวชาญไปพร้อมกันกับเรา โดยพี่สาว นิกกี้ (วิสุตา โลหิตนาวี) ได้ไปเรียนด้าน Oenology หรือ ‘ศาสตร์ว่าด้วยการปลูกองุ่นทำไวน์’ จาก University of Adelaide ประเทศออสเตรเลีย เรียนจบกลับมาก็ได้เป็นนักทำไวน์ และมาพัฒนาธุรกิจครอบครัว โดยผลิตไวน์ชื่อว่า “สกุณาโรเซ่” เข้าตลาดไวน์ครั้งแรกได้สำเร็จ ส่วนมีมี่ (สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี) ก็ได้มาดูแลด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ของกราน-มอนเต้ ดูแลด้านการตลาดทั้งกลุ่ม B2C (Business-to-Customer) ที่ขายผ่านหน้าไร่ และ B2B (Business-to-Business) เจาะกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจจัดเลี้ยง เครือโรงแรมต่าง ๆ รวมถึงส่งออกต่างประเทศด้วยค่ะ”

“ยกตัวอย่างการตลาดแบบ B2B กราน-มอนเต้ ได้ทำงานร่วมกับ จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) เปิดตัวคอลเลกชั่นไวน์ระดับพรีเมียม “Jim Thompson X GranMonte” ที่มีทั้งไวน์แดงและไวน์ขาว เสิร์ฟใน “ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน เป็นต้น”


นำไวน์ไทยสู่เวทีระดับโลก
กราน-มอนเต้ ยังได้รับเลือกให้เสิร์ฟในการประชุมเอเปค 2022 ซึ่งสะท้อนให้ได้เห็นแล้วว่า ไวน์ไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเลยทีเดียว

นอกจากนี้ กราน-มอนเต้ ยังได้รับรางวัลผู้ผลิตไวน์ดีเด่นของประเทศไทย (Best National Producer - Thailand) จากการแข่งขันไวน์นานาชาติ AWC Vienna ปี ค.ศ. 2015-2017, 2019 และ รางวัลดีเด่น สาขาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ จากงาน Thailand Tourism Award 2021 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อีกด้วย

เป็นแหล่งความรู้เรื่อง Tropical Wines ที่สำคัญของโลก


กราน-มอนเต้ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญในเรื่องของศาสตร์การปลูกองุ่นในเขตร้อน และเรื่อง Tropical Wines อันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งที่กราน-มอนเต้ มีองุ่นมากกว่า 10 สายพันธุ์ อาทิ องุ่นสำหรับผลิตไวน์แดง ได้แก่ ซีร่าห์ (Syrah), คาร์แบร์เนต์ โซวีนยอง (Cabernet Souvignon), เกรนาช (Grenache), ดูรีฟ (Durif) และองุ่นสำหรับผลิตไวน์ขาว ได้แก่ เชอแนง บลอง (Chenin Blanc), แวร์เดลโล (Verdelho), วีออนเยร์ (Viognier), เซมิลยอง (Semillon) ฯลฯ เป็นต้น

“กราน-มอนเต้ ถือเป็นแหล่งความรู้เรื่อง Tropical Wines อันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ค่ะ เราได้ร่วมมือกับหลายประเทศ เช่น บราซิล เม็กซิโก หรือเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคด้วยกัน”

“เรามองว่าไวน์ไม่ว่าจะมาจากภูมิภาคไหน ประเทศไหน ก็มีดีด้วยกันทั้งหมด แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศ แม้ไวน์จะมาจากองุ่นพันธุ์เดียวกัน ก็จะได้รสชาติต่างกัน มีเสน่ห์แตกต่างกัน ไวน์จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป และด้วยโลกที่ร้อนมากขึ้น ก็ทำให้ Tropical Wines ได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักและสนใจมากขึ้น ทำให้หลาย ๆ ประเทศเข้ามาเรียนรู้ว่าเราสามารถรับมือกับความร้อนได้อย่างไร สามารถปลูกองุ่นได้อย่างไร กราน-มอนเต้ก็เป็นเสมือนกับโรงเรียนให้ทุกคนได้เรียนรู้”

“กราน-มอนเต้ ยังได้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (Geographical Indication) ของ “ไวน์เขาใหญ่” ซึ่งได้รับอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพานิชย์ด้วย ซึ่งเรามองว่าเราไม่มี Old World Wines เราไม่ใช่ New World Wines แต่เราเป็น New ละติจูด Wines และภายใน New ละติจูด Wines เรายังเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่อง Tropical Wines ด้วย”


ให้ความสำคัญกับ Zero Waste สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้แล้วกราน-มอนเต้ ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และ เรื่อง Zero Waste เป็นอย่างมาก โดยกราน-มอนเต้ ถือเป็นไร่เกษตรยั่งยืน ที่มีการนำวัตถุดิบที่เหลือจากกระบวนการทำไวน์มาต่อยอดให้เกิดประโยชน์

“เรามีความตั้งใจจะทำการเกษตรให้เป็นเกษตรแบบยั่งยืน ทุกขั้นตอนในการทำธุรกิจของเราทั้งหมด จะใช้สิ่งทดแทนให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด อย่างเช่น การควบคุมศัตรูพืชด้วยการทำแบบไบโอ เอาแมลงมาสู้กับแมลง การทำปุ๋ยหมัก ทำโรงบ่มไวน์เป็น Zero Waste ซึ่งอะไรที่เข้าไปในโรงบ่มแล้วจะไม่ออกมาเป็นขยะ เช่น องุ่นเรานำไปทำไวน์ เปลือกองุ่นนำไปกลั่นเป็นสุราขาว เมล็ดองุ่นนำไปสกัดเป็นน้ำมันเมล็ดองุ่น นำกิ่งก้านใบมาทำปุ๋ยหมัก นำถังโอ๊คที่เลิกใช้ไปแล้วไปหมักกาแฟ หรือทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น”

อีกทั้งยังได้ใช้เทคโนโลยี Smart vineyard และ Micro-climate Monitoring System ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล วางแผนและจัดการระบบภายในไร่ ซึ่งจะช่วยตรวจสอบข้อมูลอุณหภูมิ ความชื้น ความเข้มแสง ความเร็วลม ความดันอากาศ ทิศทางลม ปริมาณน้ำฝน ฯลฯ ภายในไร่ เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพ และผลผลิตองุ่น

“การผลิตไวน์เราปลูกในไทยและทำในไทย 100% เรามี Micro-climate Monitoring System ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเราเริ่มใช้มาตั้งแต่เริ่มต้น มาใช้เพื่อการวางแผนและการจัดการระบบภายในไร่ โดยจะช่วยให้เรารู้เรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ เชื่อมกับดาวเทียมว่าฝนจะมาเมื่อไหร่ มีเซ็นเซอร์เรื่องลม เซ็นเซอร์เรื่องดิน วัดความชื้นในดิน เราจะรู้ว่าต้นองุ่นตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร ทำให้เราสามารถบริหารทรัพยากรธรรมชาติได้ ดูเวลาฝนตกได้อย่างแม่นยำ ทำให้ไม่ต้องเสียทรัพยากรหรือรดน้ำโดยไม่จำเป็น และเรามีความรู้ในเรื่องการปลูกองุ่นและทำไวน์ในเขตร้อนเป็นอย่างดี ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราจะไม่สูญเสียผลผลิตในการผลิต”


อนาคตอยากผลิตไวน์ให้ได้มากถึง 3 แสนขวดต่อปี

ปัจจุบันกราน-มอนเต้ จำหน่ายสินค้าในประเทศไทย 80% โดยเน้นขายที่หน้าไร่เป็นหลัก และเจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง และส่งออกต่างประเทศ 20% โดยกราน-มอนเต้ มีเป้าหมายในอนาคตข้างหน้าว่าจะผลิตไวน์ให้ได้มากถึง 3 แสนขวดต่อปี

“ปัจจุบันกราน-มอนเต้ สามารถผลิตไวน์ได้ 1-2 แสนขวดต่อปี คร่าว ๆ ประมาณ 90 ตันต่อปี คาดว่าปีนี้จะมากขึ้นไปอีก และ 3-4 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะผลิตไวน์ให้ได้มากถึง 3 แสนขวดต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ ความพร้อมของทีมงาน และสภาพเศรษฐกิจของธุรกิจด้วย นอกจากนี้เรายังอยากแตกไลน์สินค้าใหม่ ๆ อยากทำไวน์หลากหลายมากขึ้น อยากให้มีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ที่สำคัญเลยคือ เราอยากพัฒนาให้เขาใหญ่เป็นแหล่งที่มาของไวน์ที่เป็นมาตรฐานของโลก” คุณสุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ รางวัล Bai Po Business Awards by Sasin เป็นรางวัลเกียรติยศที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจชั้นนำของประเทศ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ปัจจุบันมอบรางวัลเป็นครั้งที่ 19 แล้ว และมีผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลรวมครั้งนี้แล้ว ทั้งสิ้น 99 ราย โดยผู้ประกอบการที่สมัครเข้ารับการพิจารณาต้องมียอดขายตั้งแต่ 50 ล้านบาท – 500 ล้านบาท และดำเนินธุรกิจไม่ต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือศิษย์เก่าศศินทร์ฯ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการยกย่องและชื่นชมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี และเพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการไทยรายอื่น ๆ ต่อไป

โดยในปีนี้ยังมี บริษัท โกไฟว์ จำกัด ผู้ผลิตซอฟต์แวร์มาตรฐานระดับโลก, บริษัท ชู โกลบอล จำกัด ผู้ผลิตรองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้าแฟชั่น, บริษัท ลายวิจิตร จำกัด ผู้ผลิตบันไดสำเร็จรูป, และบริษัท เอ.เบสท์ อินเตอร์ โปรดักส์ ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางและสินค้าพรีเมี่ยม ประเภทพลาสติกและอลูมิเนียม ได้รับรางวัลในครั้งนี้ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น