แคล - คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) คาดโรงงานแห่งใหม่ในมหาชัยและ จ.เพชรบุรี เริ่มดำเนินการช่วงครึ่งหลังปี 2567 เน้นผลิตสินค้ามาร์จิ้นสูงรับออเดอร์ต่างประเทศ ผู้บริหาร “คงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ” เผยผลิตสินค้าที่มีความต้องการใหม่ๆ มากขึ้น เชื่อแนวโน้มธุรกิจสดใส รับอานิสงส์โรงงานตั้งอยู่ในพื้นที่ Free Trade Zone อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี BOI ขณะที่ฐานทุนแกร่ง หลังระดมทุนลดภาระดอกเบี้ย หนุนผลงานปีนี้โตแกร่ง
นายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคล - คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (CCET) ผู้ให้บริการด้าน EMS (Electronics Manufacturing Service) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้บริการด้าน OEM (Original Equipment Manufacturing) และ ODM (Original Design Manufacturing) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปีหลังมีทิศทางที่สดใส เนื่องจากโรงงานใหม่ในมหาชัยและเพชรบุรี ตั้งอยู่ในเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) จะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 และสามารถรองรับคำสั่งซื้อสินค้ามาร์จิ้นสูงจากกลุ่มลูกค้าทั่วโลกได้ ขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงมากหลังจากบริษัทนำเงินจากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้สามารถลดภาระดอกเบี้ยไปได้จำนวนมาก ส่งผลให้มั่นใจว่าภาพรวมของผลการดำเนินงานในปี 2567 จะเติบโตได้ก้าวกระโดด
สำหรับโรงงานแห่งใหม่ดังกล่าวจะผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อจากลูกค้า โดยเริ่มมุ่งเน้นไปที่สินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง เช่น ผลิตภัณฑ์การพิมพ์และภาพคุณภาพสูง (Laser Printer) อุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูล (SSD) อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable Device) และอื่นๆ
นอกจากนี้ บริษัท และสาขาต่างประเทศของบริษัทยังสามารถตอบสนองความต้องการใหม่ๆ เช่น AI Server อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ในบ้านอัจฉริยะและระบบเฝ้าระวัง (IoT) และอื่นๆ
“นอกเหนือจากการขยายโรงงานแล้ว บริษัทยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายทางการตลาด และต้นทุนทางการเงิน ภายหลังจากการเพิ่มทุนเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อชำระหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินที่เคยใช้สำหรับขยายโรงงานในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดีขึ้น จนทำให้ในปี 2567 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ” นายคงสิทธิ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า จำนวน 881.36 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 31,679.42 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ จำนวน 15.06 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่ากับ 541.48 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 82.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1.71% จาก 0.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการบริหารธุรกิจโดยรวมที่ดีขึ้น