SCB CIO มองหาก LTF ได้กลับมาให้นักลงทุนได้สร้างวินัยการออมระยะยาวอีกครั้ง จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยลดความผันผวนจากการถูก Short sell และลดเงินทุนไหลออกจากแรงขายของนักลงทุนสถาบัน คาดจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย 4-5 หมื่นล้านต่อปี แนะตลาดหุ้นไทยสามารถลงทุนได้ทั้งพอร์ตหลักระยะยาว และพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น จากปัจจัยหนุนทางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่จะเร่งตัวในไตรมาส 3 ช่วยหนุนผลประกอบการ บจ. ให้มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น สนับสนุนเม็ดเงินไหลเข้า
นายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ได้วิเคราะห์ผลที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดผลักดันให้นักลงทุนสามารถกลับมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) ได้อีกครั้ง โดยเรามีมุมมองว่า ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยช่วยลดเงินทุนไหลออก ลดแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศลงได้
ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติในอดีตพบว่า ในช่วง 7 ปีสุดท้ายก่อนที่การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนใน LTF จะหมดลง มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนใน LTF ประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากคิดเป็นยอดเงินลงทุนสุทธิ โดยคำนวณจากเงินที่ไหลเข้ามาลงทุน หักเงินที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกไปยังสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่เมื่อการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นสุดลง ในปี 2562 เราพบว่า มีเงินไหลออกจากกองทุน LTF ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ยอดเงินคงค้างที่อยู่ในกองทุน LTF โดยรวม ในปี 2562 เคยอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ก็ลดลงไปค่อนข้างมาก โดยเหลือเพียง 2.47 แสนล้านบาท ในเดือน เม.ย.2567 ฉะนั้นหากกองทุน LTF กลับมาใช้สิทธิประโยชน์ภาษีได้อีกครั้ง และเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังคาดการณ์จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเราคาดว่าเงินบางส่วนจะมาจากเงินที่เคยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ และเงินลงทุนใหม่
"หากเงื่อนไขการลงทุนใน LTF ที่จะนำกลับมาใหม่นี้ ไม่นำยอดเงินลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ ประกันชีวินแบบบำนาญ ที่กำหนดยอดเงินลงทุนรวมกันไว้ไม่เกิน 500,000 บาท โดยแยกเงินลงทุน LTF ออกมาอีก จำนวน 500,000 บาท เหมือนในอดีตที่ผ่านมา อีกทั้งกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาการถือครองที่น่าสนใจ เช่น กำหนด 5 ปี เหมือนในอดีต คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท และน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง" นายศรชัย กล่าว
นอกจากนี้ กองทุน LTF จะช่วยลดความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นไทย จากการถูก short sell (การยืมหุ้นมาขายเพื่อทำกำไร เมื่อคาดว่าหุ้นนั้นจะปรับตัวลดลง) เนื่องจากเวลาที่หุ้นปรับตัวลดลง นักลงทุนจะมีแรงซื้อกองทุน LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดให้ปรับตัวดีขึ้นได้ อีกทั้ง LTF จะช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายดีขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย
สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกลับมาของกองทุน LTF นั้น เรามองว่าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 (หุ้น 100 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด) เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถถือลงทุนระยะยาวได้ อีกทั้งหุ้นหลายตัวใน SET100 เป็นหุ้นที่ให้เงินปันผลค่อนข้างดี และจากสถิติในอดีตพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศนิยมถือครองหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก
ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเรามองว่า นอกเหนือจากแนวโน้มการกลับมาของกองทุน LTF แล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มได้ปัจจัยหนุนจาก 1) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นได้ต่อในช่วงครึ่งปีหลัง 2) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ จะเป็นแรงหนุนภาคการลงทุนในประเทศ 3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรขึ้นในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4) ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยลง และ 5) Valuation ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง ณ ปัจจุบันซื้อขายด้วยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward P/E) ที่ระดับ 14.6x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตโควิด-19
ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีมุมมองว่าสามารถลงทุนกองทุนรวมหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว 1 ปีขึ้นไป (Core Portfolio) ได้ และยังสามารถลงทุนบนพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น (Opportunistic Portfolio) ได้ในกรณีที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง จากปัจจัยสนับสนุนที่เข้ามาในระยะใกล้ได้ โดยเราแนะนำให้ลงทุนผ่าน กองทุน SCBTHAICGA ซึ่งเป็นกองทุนทุนรวมหุ้นไทย ประเภทที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก บริหารโดยผู้จัดการกองทุนชั้นนำ มีกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นที่มีธรรมาภิบาล (Governance) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือสังคม (Social) เป็นสำคัญ โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นเพียง 30-50 บริษัท แต่ยังมีการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม