วันนี้ (29 พ.ค.) ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นประธาน และสักขีพยานในพิธีลงนามการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC เพื่อแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบของรัฐบาล ระหว่างธนาคารออมสิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดยมีนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และนายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ลงนามการร่วมทุนดังกล่าว พร้อมด้วยนายธีรัชย์ อัตนวานิช ประธานกรรมการธนาคารออมสิน และนางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า การจัดตั้ง ARI-AMC เป็นไปตามนโยบายช่วยเหลือประชาชนลดภาระและประกาศเป็นนโยบายแก้ไขหนี้ทั้งระบบของภาครัฐที่มอบหมายให้ธนาคารออมสินจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ในรูปแบบกิจการร่วมทุน (Joint Venture Asset Management Company : JV AMC) เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) โดยเพิ่มความคล่องตัวให้สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกหนี้ได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถโอนหนี้บางส่วนของ SFIs ไปยังบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการหนี้โดยเฉพาะ โดย ARI-AMC มีวัตถุประสงค์หลักเป็นธุรกิจเพื่อสังคม มีกำไรในระดับที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งที่เป็น NPLs และ NPA ได้เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้หรือไกล่เกลี่ยหนี้ มีโอกาสหลุดพ้นจากการเป็นผู้เสียประวัติทางเครดิตได้เร็วขึ้น กลับมาเป็นสถานะหนี้ผ่อนปกติหรือหนี้ปิดบัญชีจะทำให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้ ทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมให้มีเสถียรภาพและช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมทุนเท่ากันที่ร้อยละ 50 และมีระยะเวลาดำเนินการไม่เกินกว่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการ โดยดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ในระยะแรกจะรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียวก่อน เป็นการรับซื้อหนี้สินเชื่อทั่วไปทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน เป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อรายย่อย SMEs รวมถึงหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ที่มีสถานะ NPLs หนี้สูญ รวมถึง NPA ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 20 ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ที่ยังไม่ดำเนินคดี และดำเนินคดีแล้ว ที่ยังมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
บริษัทจะมีการรับซื้อหนี้ในราคายุติธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับสอดคล้องจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เช่น การปรับลดเงินต้น ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ หรือการตัดหนี้บางส่วนให้ลูกหนี้ เป็นต้น โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 จะสามารถเริ่มรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสิน และจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือจำนวนกว่า 500,000 บัญชี หรือคิดเป็นมูลหนี้เงินต้นกว่า 45,000 ล้านบาท และในอนาคตจะขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมการรับซื้อหนี้ประเภทอื่น รวมถึงหนี้ของ SFIs อื่น ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
นายวิทัย กล่าวอีกว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นการจับคู่ที่ลงตัว โดยธนาคารออมสินเป็นฝ่ายที่มีพอร์ตสินเชื่อที่ต้องการส่งออกเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปล่อยกู้ต่อไป รวมถึงมีจำนวนสาขาที่มากทำให้สะดวกต่อติดต่อปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ ขณะที่ BAM เองมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการหนี้ จะทำให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ปิดจบได้เร็ว สามารถให้ลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบได้เร็ว โดยนอกจากเงินทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 1,000 ล้านบาทแล้ว ธนาคารออมสินยังปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำให้ AMC เพื่อใช้ในการซื้อหนี้ด้วย และหากต้องการเพิ่มทุนจดทะเบียนธนาคารออมสินและ BAM มีความพร้อมที่จะดำเนินการ โดยจากจำนวนมูลหนี้ดังกล่าว บริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์คาดว่าจะสามารถช่วยปิดหนี้ส่งคืนลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบได้ 70-80% โดยน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี
"การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ ทั้งธนาคารออมสินและ BAM จะถือหุ้น 50% เท่าๆ กัน ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ รวมถึงเพื่อให้สะดวกต่อการบริหารจัดการ โครงการนี้ถือเป็นโครงการทางสังคมเพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับสู่ระบบได้เร็วมากขึ้น ดังนั้น เกณฑ์ต่างๆ จึงมีความผ่อนผัน ผ่อนเกณฑ์ ผ่อนปรนกว่าปกติ แต่มีผลตอบแทนความเหมาะสม โดยจะใช้บริษัทกลางเข้ามาประเมินราคาที่เป็นธรรม และเริ่มรับโอนหนี้ได้ในอีก 2 เดือน โดยล็อตแรกประมาณเดือนก.ค.นี้ในเบื้องต้น 140,000 ราย วงเงิน 10,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 500,000 ราย วงเงิน 45,000 ล้านบาทในปลายปีนี้"
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า บริษัทร่วมทุนดังกล่าวคือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนที่กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่ง BAM จะให้การสนับสนุนบริษัทร่วมทุนโดยให้บริการเกี่ยวกับการรับบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริษัทร่วมทุนจะรับซื้อ หรือรับโอนจากธนาคารออมสิน ตลอดจนการให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทร่วมทุน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน BAM ดำรงบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา จนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ให้ได้ข้อยุติมากกว่า 155,000 ราย คิดเป็นภาระหนี้กว่า 480,000 ล้านบาท และยังสามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไปกว่า 52,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 122,000 ล้านบาท