หลายสัปดาห์แล้วที่บรรยากาศการซื้อขายหุ้นตกอยู่ในภาวะซบเซา ดัชนีหุ้นขึ้นลงในกรอบที่แคบมาก และกูรูหุ้นส่วนใหญ่คาดว่า ภาวะที่น่าวังเวงของตลาดหุ้นไทยจะดำรงคงอยู่ต่อไปอีกยาวนาน อย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้
ถ้าปักหมุดดัชนีหุ้นไว้ที่ 1,370 จุด ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีจะแกว่งตัวขึ้นลงจากหมุดที่ปักไว้ประมาณ 10 จุด หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,360-1,380 จุด ซึ่งถือเป็นกรอบความเคลื่อนไหวที่แคบมาก และแทบหาส่วนต่างการทำกำไรจากราคาหุ้นไม่ได้
สถานการณ์การลงทุนที่อับเฉาเกิดจากขาดปัจจัยชี้นำ ไม่มีข่าวเชิงบวกกระตุ้น และนักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นต่อเนื่อง ยอดขายหุ้นสุทธิสะสมนับจากต้นปีมากกว่า 7.1 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะที่นักลงทุนรายย่อยกลับเป็นผู้ช้อนซื้อรายใหญ่ ซื้อหุ้นสะสมปีนี้กว่า 7.4 หมื่นล้านบาท ขาดทุนกันอ่วมถ้วนหน้า
เพราะจากต้นปีดัชนีหุ้นปักหัวลงมาตลอด และไม่มีสัญญาณดีดตัวกลับในระยะสั้น
ปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอย ปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ยังไม่คลายตัว ทำให้แผนการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ต้องชะลอออกไป นักลงทุนจึงขาดข่าวดีที่กระตุ้นตลาดหุ้น
ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ เป้าหมายถูกหั่นลงมา แม้การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวก็ตาม
เช่นเดียวกับเป้าหมายดัชนีหุ้นซึ่งถูกปรับลดลงมา แต่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังมองโลกในแง่ดี ประเมินว่าปลายปีนี้ดัชนีจะพุ่งไปแตะที่ระดับ 1,500 จุด
แต่สถานการณ์ตลาดหุ้นที่เป็นจริง และนักลงทุนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่คือ บรรยากาศการซื้อขายหุ้นที่เงียบเหงาซบเซา ไม่มีช่องว่างการเก็บเกี่ยวกำไรจากการลงทุน
ตลาดหลักทรัพย์พยายามเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยผลักดันมาตรการกำกับการซื้อขายที่เข้มงวดขึ้น ป้องกันการปั่นราคาหุ้น เพื่อปกป้องนักลงทุนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือได้รับความเสียหายจากราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวผิดปกติ
แต่ไม่อาจกระตุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุนได้ เพราะเป็นมาตรการที่ไม่ถูกโรคของตลาดหุ้นในขณะนี้
ตลาดหุ้นต้องการเม็ดเงินก้อนใหม่เข้ามา ต้องการให้นักลงทุนต่างชาติหวนกลับมาซื้อ ไม่ใช่ปักหลักขายเหมือนหลายปีที่ผ่านมา
ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างเสน่ห์ จนนักลงทุนทั้งในและต่างชาติกลับมาให้ความสนใจลงทุน
ถ้าไม่มียาแรงๆ ปลุกความเชื่อมั่นนักลงทุนได้ ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะฟุบต่อไปจนถึงปลายปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ตลาดหุ้นจะแปลงสภาพกลายเป็นป่าช้า บริษัทจดทะเบียนจำนวนทั้งหมดประมาณ 900 บริษัท จะกลายเป็นซากกองอยู่ตามกระดานหุ้น เพราะนักลงทุนรายย่อยกำลังล้มหายตายจาก ลดจำนวนลงเรื่อยๆ
เพราะเมื่อลงทุนแล้วขาดทุนจะทยอยล่าถอยออกจากตลาดหุ้น ขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่ เข้ามาในตลาดหุ้นน้อยมาก
อัตราส่วนการล้มหายตายจากของนักลงทุนหน้าเก่าๆ กับอัตราการเกิดของนักลงทุนหน้าใหม่อยู่ในภาวะที่ไม่สมดุล
อัตราการตายของนักลงทุนหน้าเก่าๆ มีมากกว่าอัตราการเกิดของนักลงทุนหน้าใหม่ๆ แต่ถ้าภาวะไม่สมดุลดำเนินต่อไปในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า
จำนวนนักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นอาจคงที่ในระดับประมาณ 2.7 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2567 กำลังซื้อในตลาดหุ้นอาจลดลง เพราะนักลงทุนในตลาดหุ้นแทบทั้งหมดปัจจุบันตกอยู่ในฐานะขาดทุน พอร์ตหุ้นเป็นตัวแดงหรือเงินลงทุนติดลบ
6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยในประเทศมียอดซื้อหุ้นสะสมเกือบ 6 แสนล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อมาในราคาต้นทุนสูง จำเป็นต้องถือไว้ เนื่องจากทำใจตัดขายขาดทุนไม่ได้
ถ้าไม่มีเงินก้อนใหม่ๆ จากนักลงทุนรายย่อยเข้ามา หุ้นบริษัทจดทะเบียนใหม่เมื่อต้องนำหุ้นเสนอขายนักลงทุนรายย่อย ใครจะมีกำลังซื้อ และดัชนีหุ้นจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้อย่างไร ถ้าไม่มีแรงซื้อเป็นตัวผลักดัน
ตลาดหุ้นกำลังตกอยู่ในภาวะมืดมน น่าวังเวง และไม่มีกูรูหุ้นคนใดให้เหตุผลอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นสู่ความคึกคัก ด้วยปัจจัยสนับสนุนอะไร
สรุปหุ้นมีแนวโน้มซึมยาว และไม่มีสัญญาณข่าวดีที่จะกระตุ้นและพลิกตัวกลับสู่ขาขึ้น