xs
xsm
sm
md
lg

KKP คุมเข้มสินเชื่อ ชี้เศรษฐกิจไม่แน่นอน เปราะบางสูง หนุนธุรกิจปรับตัวรับสังคมคาร์บอนต่ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การเติบโตของสินเชื่อโดยรวมในปีนี้คาดว่าจะคงที่ในระดับเดิม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยจะเน้นการดูแลคุณภาพเป็นหลัก การปล่อยสินเชื่อจะต้องทำโดยระมัดระวัง จากปัจจุบันที่ยอดคงค้างสินเชื่อรวมของธนาคารที่ 400,000 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรกเช่นกัน

"พอร์ตสินเชื่อของเรามีทั้งตัวที่เพิ่ม ลด และทรงตัว อย่างสินเชื่อรถไม่โตเพราะยอดขายรถยังลดลง สินเชื่อบ้านยังเติบโตได้เล็กน้อยในกลุ่มบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มเอสเอ็มอียังระวังเพราะยังเป็นเปราะบางอยู่ ซึ่งไม่ใช่เพราะแบงก์ไม่ปล่อยแต่มาจากการไม่ผ่านเกณฑ์เป็นหลัก ซึ่งขณะที่ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมีสูง การพิจารณาสินเชื่อจะต้องระมัดระวังขึ้นด้วยในทุกกลุ่ม ส่วนกลุ่มที่ยังพอเติบโตได้เป็นกลุ่มรายใหญ่ทั้งลูกค้าบุคคล-ธุรกิจ"

ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดการณ์ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยหนี้ในส่วนรถยึดเริ่มคลี่คลาย เนื่องจากต้นทุนที่ทยอยลดลง หลังธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้นโดยเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อต่อหลักประกัน ทำให้ผลขาดทุนจากการยึดรถต่ำลงเมื่อมีปัญหา

**แนะพัฒนาโครงสร้างควบคู่กระตุ้นระยะสั้น**
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลที่จะออกมานั้น นายอภินันท์ กล่าวว่า ธนาคารคาดหวังมาตรการระยะยาว เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะสร้างมูลค่า และการเติบโตให้เศรษฐกิจ ไปพร้อมๆระยะสั้นทางรัฐบาลที่ยังต้องมีอยู่บ้าง

"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีความจำเป็น แต่ภายใต้ทรัพยากรจำกัดมองว่า ต้องแบ่งเป็นส่วนที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ และแบ่งไว้สำหรับการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย เพราะหากกระตุ้นเพียงอย่างเดียว เศรษฐกิจอาจเติบโตขึ้นบางช่วง แต่หลังจากนั้นก็จะกลับมาแผ่วแล้วก็ต่ิงกลับมากระตุ้นอีกวนไป ประเทศอาจล้าหลังมากขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งมองว่าการกระตุ้นไม่ผิด แต่ต้องแบ่งไว้ใช้กับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวด้วย"

**หนุนธุรกิจปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ**
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจสินเชื่อ ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวในงานสัมมนา KKP Shaping the Future เราปรับ-โลกเปลี่ยน” โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำซึ่งตามแผนของประเทศที่จะเป็น net zero ในปี 2065 ดังนั้น หากเราไม่เริ่มทำตั้งแต่วันนี้จะไม่สามารถไปสู่จุดหมายนั้นได้ โดยธนาคารให้น้ำหนักในกลุ่มก่อสร้าง เพราะเชื่อว่าจะสามารถสร้าง impact ให้ระบบได้ มีความเกี่ยวพันทั้งในส่วนของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง จนกระทั่งถึงผู้พักอาศัย

ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารมียอดคงค้างสินเชื่อรวม 58,000 ล้านบาท เป็นสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 45% ของพอร์ตรวม หรือมีประมาณ 250 โครงการ โดยเฉลี่ยบ้านแต่ละหลังปล่อยก๊าซคาร์บอน 3.5 ตันต่อหลัง หากทุกๆ คนช่วยกันทั้งในด้านวัสดุ การก่อสร้าง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้เป็น 100,000 ตัน

นายร่มไทร ตัณฑโภไศย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตสินเชื่อ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกล่าวในหัวข้อ Credit Risk with Climate ว่า ในฐานะของสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และผู้ซื้อบ้าน เราตระหนักว่า การปรับตัวเพื่อรองรับกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศมีความสำคัญมากขึ้น ในมุมมองของผู้ซื้อจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ต่อสู้กับภาวะโลกร้อนได้ ประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะมี Demand มากขึ้น ดังนั้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องปรับตัวที่จะทำที่อยู่อาศัยที่อยู่ใน Demand เพื่อให้สามารถปิดการซื้อขายได้เร็ว สร้างวงจรธุรกิจที่เร็ว และสร้างกำไรได้ และในส่วนของสถาบันการเงินมุ่งหวังที่จะให้ผู้ประกอบการปรับตัวและพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพื่อให้โอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อและมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้นทั้งในฝั่งของผู้ประกอบการ และผู้ซื้อ

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนไปสู่สังคม Climate change ต้องใช้ต้นทุนไม่น้อย แต่ถ้าเราทำไปพร้อมๆ กันต้นทุนจะลดลง ขณะเดียวกัน ธนาคารพร้อมที่จะ Take Action เพื่อสนับสนุนให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยสินเชื่อ หรือโซลูชันต่างๆ และยังมีการศึกษาในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่จะเป็นตัวช่วยในการเปลี่ยนผ่านในทุกด้านของ Eco system นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น