xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ระดับ 36.50 ตลาดที่กลับมากังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (23 พ.ค.) ที่ระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.33 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม) และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.35-36.65 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันอังคารที่ผ่านมา ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.26-36.51 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมากังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอีกครั้ง (ล่าสุดตลาดให้โอกาสเฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ราว 51% ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่เคยสูงถึงเกือบ 70%) หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย

นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินยูโร (EUR) หลังประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ส่งสัญญาณว่า ECB มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน หากแนวโน้มเงินเฟ้อเป็นไปตามที่คาดหวัง ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้อ่อนค่าเข้าใกล้ระดับ 156.70 เยนต่อดอลลาร์ และนอกเหนือจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงที่ผ่านมา กอปรกับการย่อตัวลงของราคาน้ำมันดิบในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่นเทียบเงินบาท (JPYTHB) อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวในช่วงราคาย่อตัวลง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบและเงินเยนมีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าได้เช่นกัน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำให้เงินบาทหมดโอกาสที่จะกลับไปแข็งค่าขึ้นชัดเจนในระยะสั้น (สอดคล้องกับมุมมองที่เราได้ประเมินไว้ก่อนหน้า) และเงินบาทจะเริ่มแกว่งตัวในกรอบ sideways แถวเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (โซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์) อีกครั้ง โดยเงินบาทยังคงเผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ ทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนต่างชาติ (อาจเหลือไม่มากแล้ว) โฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่นและน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวน โดยเราเริ่มเห็นการทยอยขายหุ้นไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติออกมาบ้าง อย่างไรก็ดี เรามองว่าแรงขายหุ้นไทยอาจชะลอลงบ้างหลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาสดใสขึ้น จากรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้โดยรวม เรามองว่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านแถว 36.65 บาทต่อดอลลาร์ได้

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีต เราพบว่า ในกรณีที่รายงานดัชนี PMI สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดอาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ราว +0.15% และเงินบาทสามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ในกรณีที่รายงานดัชนี PMI ออกมาแย่กว่าคาด กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง -0.16% ทำให้เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 36.40-36.65 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินบาทแกว่งตัวแถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงก่อนรับรู้ข้อมูลดังกล่าว

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคม ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินโอกาสที่เฟดอาจยังสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงมากขึ้น (ออกมาแย่กว่าคาด)

นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น