xs
xsm
sm
md
lg

อสังหาฯ เมื่องท่องเที่ยวโตกระฉูด Q1 เม็ดเงินไหลเข้า "พัทยา-หัวหิน-ภูเก็ต" 6.5 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ณ ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการขยาตัวที่ดีขึ้น หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคธุรกิจอสังหาฯ ของรัฐบาล แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการขยายตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวมากว่าตลาดส่วนกลางอย่างกรุงเทพฯ โดยอัตราการเติบโตของอสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยวนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดกันเลยทีเดียว โดยพบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากกว่า 12 ล้านคน สร้างมูลค่าจากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศสูงกว่า 583,000 ล้านบาท

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำจรวจตลาดในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 พบว่าเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลทั้งในพื้นที่ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 56,600 ล้านบาทที่หลั่งไหลเข้าสู่ 3 พื้นที่ดังกล่าว ซึ่งภาวะตลาดที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 10 ปีที่ซัปพลายเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวในพื้นที่ภูเก็ตและพัทยาสูงกว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งด้านจำนวนยูนิต และด้านมูลค่าการพัฒนารวม ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ต่างพากันเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก และหลายโครงการยังคงปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหลายโครงการยูนิตขายยังคงถูกดูดซับออกไปด้วยกำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย

“คอลลิเออร์ส” คาดการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 2 และในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง ซัปพลายเปิดขายใหม่จากผู้พัฒนารายใหญ่ยังคงเปิดตัวอย่างคึกคักในหลายพื้นที่ เพื่อรองรับความต้องการของกำลังซื้อที่ยังคงให้ความนิยมคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศสำหรับเป็นบ้านหลังที่ 2 และเพื่อการลงทุนและหลายโครงการอาจสร้างกระแสการพูดถึงส่งผลให้โครงการได้รับความสนใจจากกำลังซื้อและสามารถปิดการขายลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว

โดยในส่วนของภาพรวมตลาดคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า มีซัปพลายคอนโดมิเนียม และบ้านพักตากอากาศมากกว่า 3,500 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 35,000 ล้านบาท ทยอยเปิดขายในตลาดภูเก็ตในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีโครงการคอนโดฯ เปิดขายใหม่ในจังหวัดภูเก็ตรวม 35,501 หน่วย ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นี้ มีซัปพลายคอนโดฯ เปิดขายใหม่มากถึง 12 โครงการ 3,338 หน่วย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 25,059 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของหน่วยคอนโดฯ ที่เปิดขายตลอดช่วง 10 ที่ผ่านมาเลยทีเดียว

ภัทรชัย ทวีวงศ์
สำหรับโครงการที่เข้ามาลงทุนโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรก ส่วนใหญ่เป็นบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ทั้งจากกรุงเทพมหานคร และผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ซึ่งพากันเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก เช่น บมจ.แสนสิริ บมจ.แอสเซทไวส์ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป และบริษัท CG Capital จำกัด เปิดตัวโครงการใหม่ โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งปกติแล้วคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีในจังหวัดภูเก็ตมีเพียงแค่ปีละประมาณ 2,000-3,000 ยูนิตต่อปีเท่านั้น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บวกกับการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นเสมือนแรงผลักดันที่สำคัญให้ตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งคาดการณ์ว่า สำหรับในปี 2567 อาจมีคอนโดฯ เปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดอีกกว่า 8,500 ยูนิต

ทั้งนี้ ณสิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 พบว่าในพื้นที่เกาะภูเก็ตมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดทั้งหมด 87 โครงการ ด้วยยูนิตขายทั้งหมด 25,591 ยูนิต ขายไปแล้ว 16,905 ยูนิต หรือคิดเป็น 66.05% ปรับตัวเพิ่มขั้นจากปี 2566 ที่ผ่านมา 0.25% และมีหน่วยขายรอการระบายทั้งหมด 8,686 ยูนิต คิดเป็น 33.95% และพบว่าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ให้ความสนใจพัฒนาโครงการในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตมากที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่บางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบลากูน่า และกมลา เป็นต้น และส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ 1 ห้องนอนที่สัดส่วน 53.97% และพื้นที่ขนาด 31-50 ตารางเมตรที่สัดส่วน 48.63% และช่วงราคา 3.0-5.0 พบว่ามีสัดส่วนที่สูงสุดคิดเป็น 31.69%


นายภัทรชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ “คอลลิเออร์ส” ยังพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครจำนวนมากมองเห็นโอกาสการลงทุนเข้าไปเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก และหลายโครงการสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่เกาะภูเก็ตในปีที่ผ่านมาคึกคักเป็นอย่างมาก มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนที่สูงถึง 5.80% และพบว่าคอนโดมิเนียมในเกาะภูเก็ตในช่วงราคา 3.0-5.0 ล้านบาทต่อยูนิตมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนสูงถึง 6.50%

สำหรับซัปพลายเปิดขายใหม่ของบ้านพักตากอากาศในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 เติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นกัน โดยพบว่ามีอุปทานเปิดขายใหม่ของบ้านพักตากอากาศมากถึง 10 โครงการ จำนวน 237 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 9,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของเกาะ โดยเฉพาะทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล และพื้นที่โดยรอบลากูน่า เป็นต้น

“ทำเลย่านบางเทา และเชิงทะเลในปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ เช่น บมจ.ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานคร เช่น บมจ.แสนสิริ บมจ.แอสเซทไวส์ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บจ.ฮาบิแทท กรุ๊ป รวมถึง บมจ.ไซมิส แอสเสท ให้ความสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศบนทำเลย่านนี้เป็นครั้งแรก และหลายโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย” นายภัทรชัย กล่าว

สำหรับภาพรวมตลาดบ้านพักตากอากาศในพื้นที่เกาะภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2567 มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 117 โครงการ ด้วยยูนิตขายทั้งหมด 2,545 ยูนิต และสามารถขายออกไปแล้ว 1,220 ยูนิต เหลือยูนิตรอการขาย 1,382 ยูนิต โดยพบ 98% เป็นประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในช่วงราคาต่ำกว่า 30 ล้านบาท 39.89% ตามมาด้วยในช่วงระดับราคา 30-50 ล้านบาท 41.10% และช่วงระดับราคา 30-50 ล้านบาท 37.09% และพบว่ามากกว่า 46.07% เป็นรูปแบบ 3 ห้องนอนและมีขนาดพื้นที่ใช้สอยในช่วง 300-500 ตารางเมตร

ทั้งนี้ ตลาดบ้านพักตากอากาศในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 ได้รับความสนใจจากกำลังซื้อต่างชาติเป็นอย่างมาก รวมถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยทั้งจากกรุงเทพมหานคร และคนไทยในพื้นที่ ลูกค้าจากประเทศกลุ่มยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก และกำลังซื้อจากชาติในกลุ่มเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง และ สิงคโปร์

นายภัทรชัย กล่าวว่า “คอลลิเออร์ส” ยังพบอีกว่าโครงการบ้านพักตากอากาศหลายโครงการสามารถปิดยอดการขายได้มากกว่า 80% เพียงแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการเปิดขายเท่านั้น และส่วนใหญ่ถูกเหมาซื้อไปโดยกำลังซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารัสเซีย ทั้งที่ซื้อเพื่อการลงทุนและการอยู่อาศัย

สำหรับตลาดบ้านพักตากอากาศและตลาดคอนโดฯ ในพื้นที่เกาะภูเก็ตจะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยผู้พัฒนารายใหญ่ทั้งจากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ยังคงมองเห็นโอกาสการลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ซึ่งพบว่า Branded Residence โครงการใหญ่ เช่น โครงการ The Standard Residences PhuketBangtao รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่อีกเป็นจำนวนมากต่างรอการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักในปีนี้ โดยเฉพาะทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบลากูน่า และกมลา ถือว่าเป็นทำเลที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาของตลาดคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศภูเก็ต โดยทำเลดังกล่าวส่วนใหญ่เน้นการขายแบบการรันตีค่าเช่าโดยมีทั้ง 5% 3 ปี หรือ 7% 3 ปี แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่ทุกโครงการ มียอดขายในส่วนของต่างชาติ 49% ค่อนข้างจะเต็มทุกโครงการ แต่หากมีลูกค้าชาวต่างชาติสนใจเพิ่มเติมจะขายแบบเช่าระยะยาวแบบ 30 + 30 + 30 ปี เพื่อเป็นการเปิดโอกาสการขายที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ


ซัปพลายคอนโดฯ ทยอยเข้าสู่ตลาดพัทยาอีกครั้ง

นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดพัทยา ณ ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา คอนโดฯ ระดับลักชัวรีกำลังได้รับความสนใจของกลุ่มลูกค้าและมีอัตราการขายที่ค่อนข้างเร็ว ขณะที่ซัปพลายใหม่ทยอยกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งทั้งในพื้นที่จอมเทียน และใจกลางเมืองพัทยา โดยฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567ตลาดคอนโดฯ พัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง ซัปพลายเปิดตัวใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาของผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ และผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ เช่น บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บจ.ริเวียร่า กรุ๊ป เป็นต้น โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ที่ผ่านมาอุปทานเปิดขายใหม่ 3 โครงการ 4,493 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 16,100 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่จอมเทียน และใจกลางเมืองพัทยา

นับตั้งแต่ครึ่งแรกปี 2554 ถึงไตรมาสแรกปี 2567 มีซัปพลายเปิดขายใหม่ในตลาดคอนโดฯ พัทยารวม 112,671 ยูนิต โดยพบว่าในพื้นที่ย่านจอมเทียนมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมมากที่สุด 44,692 ยูนิต หรือคิดเป็น 39.66% ตามมาด้วยในพื้นที่เขาพระตำหนัก 21,214 ยูนิต 18.82% และในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยาจำนวน 21,077 ยูนิต 18.70% จากแนวโน้มดังกล่าวคาดว่าในช่วง 3 ไตรมาสจากนี้อาจมีซัปพลายคอนโดฯ ใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 3,000 ยูนิต ซึ่งจะส่งผลให้ซัปพลายสะสมในพัทยาปรับตัวสูงกว่า 7,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นซัปพลายเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บมจ.แสนสริ และ บมจ.แอสเซท ไวส์ เป็นต้น ซึ่งผู้พัฒนาทุกรายอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการและเตรียมที่จะเปิดตัวโครงการในอนาคตอันใกล้

​ทั้งนี้ คอลลิเออร์สฯ พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 จากจำนวนซัปพลายที่อยู่ระหว่างการขาย **ดีมานด์คอนโดฯ หัวหินยังไปได้ ขณะที่ “ชะอำ” ยังล้นรอระบาย

นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดคอนโดฯ หัวหินยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่ 2 โครงการ 671 ยูนิต ซึ่งถือว่าอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 12 ไตรมาส มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการเป็นการพัฒนาของ บมจ.แสนสิริ ซึ่งเป็นผู้พัฒนารายใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ และ 1 ในนั้นคือโครงการ The Standard Residences Hua Hin มูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท เป็นโครงการ Beachfront branded residences แห่งแรกในเอเชีย เปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพรม์โลเกชันบนที่ดินหายากติดหาดหัวหินที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ พร้อมกับ Beachfront Pool Villa ในราคายูนิตละ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น

ทั้งนี้ หากแบ่งซัปพลายเปิดขายใหม่คอนโดฯ ในพื้นที่หัวหิน ชะอำ และปราณบุรี ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 พบว่าการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ พื้นที่นี้ส่วนใหญ่ยังมีเพียงแค่ในพื้นที่เมืองหัวหิน ทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลและหัวหินฝั่งภูเขา ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มลูกค้า โดยในพื้นที่ชะอำไม่พบว่ามีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมมากว่า 7 ปีนับตั้งแต่ในปี 2559 และคาดการณ์ว่าในพื้นที่ชะอำยังคงไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ โครงการใหม่ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังคงมีซัปพลายสะสมรอการขายอีกเป็นจำนวนมาก และทั้งหมดเป็นซัปพลายที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและรอการขาย

​ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี จากการสำรวจพบว่า ซัปพลายระหว่างการขายในตลาดมีจำนวนทั้งหมด 15,790 ยูนิต สามารถขายได้แล้ว 11,115 ยูนิต คิดเป็น 70.39% และมียูนิตรอการขายอีกทั้งหมด 4,675 ยูนิต หรือคิดเป็น 29.61% หากจำแนกตามพื้นที่จะพบว่า พื้นที่หัวหินฝั่งทะเลเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุดคิดเป็น 81.92% ตามมาด้วยในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาคิดเป็น 69.75% สำหรับในพื้นที่ชะอำและปราณบุรีพบว่า อัตราการขายใหม่ค่อนข้างเป็นไปอย่างช้าๆ และยูนิตที่รอการขายทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และยังมียูนิตรอการขาย แตกต่างกับในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขา และฝั่งทะเลที่มีอัตราการขายได้ใหม่ที่ค่อนข้างเร็ว สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจทั้งจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาที่ยังมองเห็นโอกาสการพัฒนาเข้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง 47,800 ยูนิต สามารถขายออกไปแล้วประมาณ 36,471 ยูนิต คิดเป็น 76.29% เหลือซัปพลายรอการขายอีก 11,329 ยูนิต คิดเป็น 23.71% โดยพบว่าในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยามีอัตราการขายที่สูงที่สุดที่ 87.28% ตามมาด้วยในพื้นที่จอมเทียน 79.49% และในพื้นที่ย่านนาจอมเทียนที่ 74.12% โดยพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมาโครงการคอนโดฯ ระดับลักชัวรีได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก หลายโครงการสามารถปิดการขายได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมริมชายหาดทั้งในพื้นที่วงศ์อมาตย์ และจอมเทียน เนื่องจากอุปทานคอนโดมิเนียมเหล่านี้ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด และมียูนิตรอการขายที่ค่อนข้างน้อย


ดีมานด์คอนโดฯ หัวหินยังไปได้ ขณะที่ “ชะอำ” ยังล้นรอระบาย

นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดคอนโดฯ หัวหินยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่ 2 โครงการ 671 ยูนิต ซึ่งถือว่าอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 12 ไตรมาส มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการเป็นการพัฒนาของ บมจ.แสนสิริ ซึ่งเป็นผู้พัฒนารายใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ และ 1 ในนั้นคือโครงการ The Standard Residences Hua Hin มูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท เป็นโครงการ Beachfront branded residences แห่งแรกในเอเชีย เปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพรม์โลเกชันบนที่ดินหายากติดหาดหัวหินที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ พร้อมกับ Beachfront Pool Villa ในราคายูนิตละ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น

ทั้งนี้ หากแบ่งซัปพลายเปิดขายใหม่คอนโดฯ ในพื้นที่หัวหิน ชะอำ และปราณบุรี ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 พบว่าการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ พื้นที่นี้ส่วนใหญ่ยังมีเพียงแค่ในพื้นที่เมืองหัวหิน ทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลและหัวหินฝั่งภูเขา ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มลูกค้า โดยในพื้นที่ชะอำไม่พบว่ามีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมมากว่า 7 ปีนับตั้งแต่ในปี 2559 และคาดการณ์ว่าในพื้นที่ชะอำยังคงไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ โครงการใหม่ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังคงมีซัปพลายสะสมรอการขายอีกเป็นจำนวนมาก และทั้งหมดเป็นซัปพลายที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและรอการขาย

​ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี จากการสำรวจพบว่าซัปพลายระหว่างการขายในตลาดมีจำนวนทั้งหมด 15,790 ยูนิต สามารถขายได้แล้ว 11,115 ยูนิต คิดเป็น 70.39% และมียูนิตรอการขายอีกทั้งหมด 4,675 ยูนิต หรือคิดเป็น 29.61% หากจำแนกตามพื้นที่จะพบว่า พื้นที่หัวหินฝั่งทะเลเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุดคิดเป็น 81.92% ตามมาด้วยในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาคิดเป็น 69.75% สำหรับในพื้นที่ชะอำและปราณบุรีพบว่า อัตราการขายใหม่ค่อนข้างเป็นไปอย่างช้าๆ และยูนิตที่รอการขายทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและยังมียูนิตรอการขาย แตกต่างกับในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาและฝั่งทะเลที่มีอัตราการขายได้ใหม่ที่ค่อนข้างเร็ว สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจทั้งจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาที่ยังมองเห็นโอกาสการพัฒนาเข้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น