ซีพี แอ็กซ์ตร้า ไตรมาสแรกฟันกำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และมีรายได้รวม 127,020 ล้านบาท สูงขึ้นกว่า 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการเติบโตในทุกช่องทาง โดยเฉพาะยอดขาย Omni Channel ที่โตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงการขยายสาขาใหม่ และการปรับโฉมสาขาตามกลยุทธ์ที่วางไว้
นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 (เดือนมกราคม-มีนาคม) เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมียอดรายได้รวม 127,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
โดยผลมาจากการเติบโตของยอดขายภายในสาขาเดิม โดยเฉพาะจากการขายออนไลน์และการขายนอกร้านพร้อมการส่งสินค้าถึงลูกค้า (Omni Channel) และการขยายสาขาใหม่ที่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น”
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าสร้างการเติบโตของรายได้ปี 2567 อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขับเคลื่อนการเติบโตผ่านทุกช่องทางจำหน่าย
* ยอดขาย Omni Channel มุ่งเพิ่มสัดส่วนเป็นอย่างน้อยร้อยละ 17 ของยอดขายรวมในปีนี้ โดยเน้นเพิ่มความหลากหลายของสินค้า พัฒนาบริการ และการขยายพื้นที่ให้บริการ รวมถึงใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายของทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกรวมกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า พร้อมกับการพัฒนาทีมนักขายนอกร้าน เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้อย่างครบวงจร
* การขยายสาขาใหม่ และปรับโฉมสาขาทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ในห้างค้าส่งและค้าปลีกให้เป็นศูนย์กลางชุมชน รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น
* การผนึกจุดแข็งด้านอาหารสดของบริษัท และบริษัทย่อย โดยเน้นการพัฒนาสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน รวมทั้งสร้างความแตกต่าง และเพิ่มกำไรด้วยการขยายสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัท (Private Label)
“บริษัทมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่องค์กรที่มีความยั่งยืนระดับโลก พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สะท้อนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สำหรับความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มบริษัทหลังจากได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว คาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2567
โดยการควบบริษัทครั้งนี้ตั้งเป้าสร้างยอดขายและอัตรากำไรที่ดีขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน”