คดีปั่นหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE คืบหน้าไปสู่ขั้นตอนสำคัญ หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกับกองบัญชาการสอบสวนกลาง สรุปสำนวนส่งอัยการ สั่งฟ้อง 42 ผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น ด้วย 3 ข้อหาหนักๆ
การปั่นหุ้น มูลค่าความเสียหายประมาณ 800 ล้านบาท การฉ้อโกงบริษัทหลักทรัพย์ ความเสียหายประมาณ 4,500 ล้านบาท และความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร
42 ผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น MORE ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ประกอบด้วย นายอภิมุข บำรุงวงศ์ หรือไฮโซปิงปอง นายเอกภัทร พระประภา ทายาทตระกูลดัง นายสมนึก กยาวัฒนกิจ ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ตงฮั้ว แคปปิตอล จำกัด และนายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ อดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ MORE
นับตั้งแต่การกล่าวโทษ 4 หุ้นปั่น ประกอบด้วยหุ้นธนาคารนครหลวงไทย หุ้นบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (KMC) หุ้นบริษัทเงินทุน เฟิร์สซิตี้ อินเวสท์เม้นท์ จำกัด (FCI) และหุ้นบริษัท รัตนะเคหะ จำกัด (RR) มีผู้ถูกกล่าวโทษรวมประมาณ 30 คน เมื่อเดือนเมษายน 2536 ตลอด 31 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีคดีปั่นหุ้นตัวใดที่เป็นคดีใหญ่และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเท่าคดีปั่นหุ้น MORE
การปั่นหุ้น การฉ้อโกงในตลาดหุ้นเกิดขึ้นตลอดเวลา และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแก๊งอาชญากรในตลาดหุ้นนับคดีไม่ถ้วน
แต่เกือบทุกคดีเงียบหาย หลัง ก.ล.ต. กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพราะคดีส่วนใหญ่ถูกเป่าหรือถูกตัดตอน โดยการสั่งไม่ฟ้อง และไม่มีการแถลงชี้แจงรายละเอียดใดในการพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง
อาชญากรในตลาดหุ้นซึ่งสร้างความเสียหายร้ายแรงให้ประชาชนผู้ลงทุนในตลาดหุ้น คนแล้วคนเล่า พ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย หลุดรอดลอยนวล และก่ออาชญากรรมซ้ำซาก ปั่นหุ้นต่อไปและยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากบริษัทจดทะเบียนไม่เลิก
การที่ ก.ล.ต.ต้องใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยสั่งปรับแก๊งปั่นหุ้น ทั้งที่เป็นคดีร้ายแรง และต้องกล่าวโทษความผิดทางอาญา เป็นเพราะการกล่าวโทษทางอาญาคดีมักถูกตัดตอนในชั้นสอบสวน ไม่ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล
แก๊งปั่นหุ้นจึงไม่เกรงกลัวกฎหมาย และยังก่อพฤติกรรมปั่นหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะถ้าถูกจับได้ อย่างมากก็ถูกสั่งปรับ เมื่อยินยอมจ่ายค่าปรับ คดีก็ปิด ไม่ต้องติดคุกติดตะราง
แต่คดีหุ้น MORE เป็นคดีใหญ่ สาธารณชนให้ความสนใจ และพฤติกรรมการฉ้อโกงโบรกเกอร์วงเงิน 4.5 พันล้านบาท โดยการโยนคำสั่งซื้อขายหุ้น MORE ในลักษณะอำพราง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ก็เป็นปฏิบัติการที่เย้ยกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง ทุกหน่วยงานจึงประสานความร่วมมือสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน จนนำไปสู่คำสั่งฟ้องแก๊งปั่นและปล้นหุ้น MORE
คดีหุ้น MORE ใช้เวลาในการกล่าวโทษและพิจารณาสั่งฟ้องรวดเร็วมาก แตกต่างจากคดีปั่นหุ้นทั่วไป ซึ่ง ก.ล.ต.ใช้เวลารวบรวบหลักฐานประมาณ 5 ปี จึงร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่คดีถูกดอง และเงียบหายไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
การสั่งฟ้อง 3 ข้อหาหนักแก๊งปั่นและโกงหุ้น MORE กำลังเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับบรรทัดฐานใหม่ สำหรับการดำเนินคดีปั่นหุ้นและการฉ้อโกงในตลาดหุ้น และจะนำไปสู่การกวาดล้างแก๊งมิจฉาชีพในตลาดหุ้นครั้งใหญ่
เพราะถ้าแก๊งปั่นหุ้น กลุ่มผู้บริหารจดทะเบียนที่ฉ้อโกง โยกย้าย ถ่ายเท ไซฟ่อนเงินถูกดำนินคดีเด็ดขาด พฤติกรรมการปั่นหุ้นและการฉ้อโกงในบริษัทจดทะเบียนจะค่อยๆ หมดไป
แก๊งปั่นหุ้น MORE และก่อปฏิบัติการโกงโบรกเกอร์ทั้ง 42 คน กำลังเป็นไก่ที่ถูกจับเชือดให้ลิงดู
เจอ 3 ข้อหาหนักๆ คงรอดคุกยาก
แต่ทำอย่างไร ก.ล.ต.และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจะประสานความร่วมมือกันอย่างแข็งขันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนการสยบแก๊งปั่นหุ้น MORE
เพราะทุกพฤติกรรมความผิดร้ายแรงในตลาดหุ้น ถ้าถูกดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด ติดคุกติดตะรางกันทุกราย แก๊งมิจฉาชีพในตลาดหุ้นคงหัวหดกัน
ไม่ปล้นประชาชนผู้ลงทุนอยู่ทุกวันนี้ โดยไม่เห็นหัว ก.ล.ต.และกรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่ในสายตา