ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ไตรมาสแรกมีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 821 ล้านบาท เติบโต 93% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ผลจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่กลับมาสู่ระดับปกติ การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียม การปรับราคาขาย และปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก อีกทั้งการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพหนุนมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิเติบโต
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC กล่าวว่า “หลังจากก้าวผ่านความท้าทายในปี 2566 ในที่สุดการดำเนินธุรกิจของไอ-เทล สามารถกลับมามีกำไรและยอดขายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความพร้อมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ในปี 2567 โดยบริษัทยังคงยึดมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง (Pet Centric) และต่อยอดธุรกิจด้วยการคว้าโอกาสสำคัญต่างๆ จากภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดว่าจะเติบโตในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป”
“อีกทั้งไอ-เทลได้เดินหน้ากลยุทธ์เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจร่วมกับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันควบคู่ไปกับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 ได้เริ่มต้นข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อการผลิตสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงให้แก่แบรนด์ค้าปลีกชั้นนำในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเริ่มมีคำสั่งซื้อและส่งมอบสินค้าล็อตแรกในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้”
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2567 ไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายแบ่งตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 45 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ และยุโรปอยู่ที่ 19% อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าอาหารหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 75% อาหารสุนัข 13% ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 10% และธุรกิจอื่นๆ อีกราว 2%
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังให้ความสำคัญต่อการตอบรับเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว หรือ “Pet Humanization” ที่มาพร้อมกับการบริโภคสินค้าพรีเมียมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของไอ-เทลในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการที่ผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย รวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐานและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่ม Pet Parents ทั่วโลกที่ต้องการดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้สัตว์เลี้ยงของพวกเขา โดยบริษัทได้พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 500 รายการในไตรมาสที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วยการลงทุนราว 1.3 พันล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบการจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage & Retrieval System - ASRS) ที่โรงงานในจังหวัดสงขลา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในระยะยาว
นอกจากนี้ ไอ-เทลยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 โดยได้เริ่มการติดตั้งระบบการปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วยการกรองแบบ Ultrafiltration and Reverse Osmosis (UFRO) ที่โรงงานในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบในจำนวน 5 โรงของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการนำร่องด้านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ (best-in-class manufacturing) โดยคาดว่าการติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ (zero water discharge) ให้สำเร็จภายในปี 2573
“ผมเชื่อมั่นว่าไอ-เทลจะสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในปี 2567 เพื่อตอกย้ำศักยภาพของเราในการเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของโลกที่พร้อมส่งมอบคุณค่าเชิงบวกสู่สังคมและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันในระยะยาว” นายพิชิตชัย กล่าว