บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาว และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (บริษัท หรือ BAFS) เป็น ‘BBB(tha)’ จาก ‘BBB+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของบริษัทเป็น ‘F3(tha)’ จาก ‘F2(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนเป็น ‘BB+(tha)’ จาก ‘BBB-(tha)’
การปรับลดอันดับเครดิต สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ ‘BBB+(tha)’ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากแผนการลงทุนที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของรายได้ที่ล่าช้า ส่งผลให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ฟิชท์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ซึ่งวัดโดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) จะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 6 เท่าในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า
อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดในปี 2566 เกิดจากการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยต่ำกว่าเป้าหมาย นอกจากนี้ การเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินภายในประเทศยังส่งผลกระทบต่อปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของเที่ยวบินภายในประเทศ ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่ BAFS มีการให้บริการในปี 2566 ได้มีการฟื้นตัวไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 70 ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส (2565: ร้อยละ 49) แต่อย่างไรก็ตามยังคงต่ำกว่าประมาณการของฟิชท์อยู่ร้อยละ 16
ทั้งนี้ แม้ว่าฟิชท์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ BAFS จะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2567-2568 แต่อัตราการฟื้นตัวอาจช้ากว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ การเติบโตในปี 2567 จะเป็นผลมาจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยในปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนประเทศไทยคิดเป็นเพียงร้อยละ 39 ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเติบโตต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในจีนช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้ที่อาจส่งผลต่อการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน และส่งผลต่อปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยาน BAFS ในปี 2567 จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 86 ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส และประมาณร้อยละ 93 ในปี 2568 ในขณะที่ EBITDA น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.6 พันล้านบาทในปี 2567 และ 1.8 พันล้านบาทในปี 2568 จาก 1.2 พันล้านในปี 2566
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงช้า โดยฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินยังคงอยู่ในระดับที่สูงในช่วง 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า แม้ว่า EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว กระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow) ของ BAFS น่าจะกลับมาติดลบในปี 2568 (2566: บวก 203 ล้านบาท) จากค่าใช้จ่ายด้านการการลงทุนที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้น EBITDA Net Leverage น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 6.5-7.0 เท่าในปี 2567 และ 2568 (2567: 9.3 เท่า)
ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของ BAFS จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.0 พันล้านบาทในปี 2567 และ 1.6 พันล้านบาทในปี 2568 จาก 274 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการก่อสร้างท่อเชื่อมต่อ และการลงทุนในธุรกิจพลังงาน
ด้านสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยสัดส่วนรายได้จากบริษัท บาฟส์ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (BPT) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BAFS น่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณร้อยละ 13 ในปี 2567 เนื่องจากปริมาณขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจะถูกลดทอนด้วยส่วนลดค่าบริการที่เพิ่มขึ้น ฟิทช์คาดว่า BPT จะยังคงให้ส่วนลดค่าบริการต่อไปเพื่อเป็นแรงจูงใจให้บริษัทน้ำมันเปลี่ยนมาใช้บริการท่อส่งน้ำมันแทนการขนส่งด้วยรถบรรทุกในช่วงแรก ฟิชท์คาดว่า BPT จะเริ่มปรับส่วนลดให้น้อยลง เมื่อบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 60 ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นหลังจากโครงการเชื่อมต่อท่อขนส่งน้ำมันเริ่มดำเนินการในปี 2570
อย่างไรก็ตาม BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว และเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานแต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่รองรับสายการบินต้นทุนต่ำ BAFS อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อย เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับสัมปทานจากท่าอากาศยานนั้นๆ จึงจะให้บริการได้
และ BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS เป็นค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่ อีกทั้งธุรกิจเติมน้ำมันอากาศยานเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันจำกัด เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับสัมปทานในการดำเนินธุรกิจ
รวมถึงการที่ BAFS ได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจพลังงานหมุนเวียน น่าจะช่วยสนับสนุนสถานะทางธุรกิจของ BAFS ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าให้ยังคงแข็งแกร่ง จากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากแหล่งพลังงานที่อาจจะแปรผันได้ โดยโครงการพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ย 20-25 ปี กับคู่สัญญาที่มีความแข็งแกร่ง ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัทชั้นนำในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสำหรับโครงการในประเทศญี่ปุ่น ฟิทช์คาดว่าธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์จะมี EBITDA (รวมเงินปันผลรับ) ที่สม่ำเสมอให้แก่ BAFS ที่ระดับประมาณ 240-260 ล้านบาทต่อปี
ส่วนหุ้นกู้ด้อยสิทธิของ BAFS มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ BAFS ที่ 2 อันดับ เพื่อสะท้อนถึงสถานะด้อยสิทธิซึ่งมีแนวโน้มที่จะต้องรองรับผลขาดทุนที่สูงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับหนี้อื่นๆ ของบริษัท
ด้านสภาพคล่องอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยณ สิ้นปี 2566 BAFS มีหนี้สินจำนวน 1.8 พันล้านบาท ที่จะครบกำหนดในปี 2567 ซึ่งน่าจะได้รับการชำระจากเงินสด (ตามคำจำกัดความของฟิทช์) จำนวน 1.4 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เบิกถอนจำนวน 400 ล้านบาท นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทน่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารจากสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง