สายงานวิจัยฯ บล.เอเซีย พลัส ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด และเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ฟรีค่าธรรมเนียม VISA นักท่องเที่ยว และการแจกเงิน Digital 10,000 บาท เป็นความคาดหวังการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น แม้ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจจะคงไว้ 5.5% ยาวนานขึ้น หลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาด แต่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงน่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทย หลังทางการเพิ่มชั่วโมงซื้อขายจาก 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน เป็น 5 ชั่วโมงต่อวัน และมีมาตรการในการกำกับดูแลตรวจสอบ Short Selling, Program Trading หนุน Turnover ของ SET มีโอกาสกลับมาสูงกว่า 70% ต่อปี
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวเพิ่มว่า ในช่วงไตรมาส 2 ตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น คือมุมกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกปี 67 ที่มีโอกาสเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสก่อนเด่น จากฐานกำไรงวดไตรมาส 4 ปี 66 ที่ต่ำกว่าปกติ พร้อมกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหนุนหลังค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงกว่า 7% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่ามีสัดส่วน Market Cap กว่า 40% รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นแรงเกิน 15% เทียบไตรมาสก่อน หนุนให้เกิด Stock Gain ในหุ้น Commodity ที่มีสัดส่วนหลักในตลาด
ขณะที่มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1,350 จุด โดย SET ที่ระดับ 1,350 จุด มี PER67F ที่ 16.6 เท่า (-1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.31 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี) อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่ส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้กับหุ้นกว้างมาก โดยมี MEYG ที่ 4.25% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) หนุนให้เม็ดเงินมีโอกาสทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน ณ SET บริเวณ 1,350 จุด มี Valuation ที่น่าสนใจ แนะนำหุ้นทยอยฟื้นตามเศรษฐกิจ CK SCCC MTC BJC KBANK หุ้นกำไร 2Q67 เด่น PTTGC BGRIM
ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงไตรมาส 2 ลงไป คาด side-way down หวังได้อานิสงส์จากการเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ แนะนำทยอยซื้อหุ้นกู้เก็บช่วงตลาดปรับตัวขึ้น
ฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดตราสารหนี้ไทยยังไปได้ดีและเป็นที่ต้องการของนักลงทุน โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทยที่มีอายุไม่ยาวมากและมีอันดับเครดิตตั้งแต่ Invesetment grade ขึ้นไป โดยยอดคงค้างตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 67 อยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาส 4 ปี 66 อยู่ที่ 16.51 ล้านล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตร ธปท. ในทางตรงข้ามยอดคงค้างของตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือหุ้นกู้ลดลงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จาก 4.84 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 4.79 ล้านล้านบาท
ในส่วนของ 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ มีมูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวครบกำหนด 696,411 ล้านบาท โดยจะครบในช่วงไตรมาสสอง 35.79% ช่วงไตรมาสสาม 33.53% และ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 30.68% ซึ่งจะครบกำหนดมากสุดช่วงเดือนเมษายน สิงหาคม และพฤศจิกายน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังครองอันดับหนึ่งของการมีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) ซึ่ง 5 อันดับแรกของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP) กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD)
โดย 5 กลุ่มนี้มียอดคงค้างคิดเป็น 60% ของมูลค่ารวมทั้งตลาด แต่ถ้ามองในมุมของอันดับเครดิตแล้ว หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A มีมูลค่าคงค้างสูงสุด แต่ถ้ามองทุกอันดับเครดิตรวมกันกว่า 93% เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade (BBB-) ขึ้นไป
น.ส.ลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะมีการเคลื่อนไหวแบบ side-way down เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ จะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 2.50% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 2.00-2.25% ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้า สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 3 ปี ที่ตอนนี้อยู่ในช่วง 2.265-2.387% โดยล่าสุดตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะเริ่มลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีลงไป ในส่วนมูลค่าหุ้นกู้ที่มีปัญหา ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 67 มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 122,271 ล้านบาท คิดเป็น 2.70% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว ซึ่งถือว่ายังเป็นสัดส่วนที่น้อย โดยส่วนใหญ่หุ้นกู้ในตลาดยังถือว่าเป็นทางเลือกที่มั่นคงและปลอดภัย
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้สภาวะตลาดดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลง คือ ทยอยสะสมซื้อหุ้นกู้ในช่วงที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และซื้อตามวัตถุประสงค์การลงทุน คือ ถ้าซื้อเพื่อลงทุนแบบถือจนครบกำหนด สามารถเลือกหุ้นกู้ที่มีอายุยาว หรือหากลูกค้ารับความเสี่ยงได้มากขึ้น สามารถลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตไม่สูงมาก เพื่อได้ผลตอบแทนที่มากกว่า แต่ถ้าซื้อเพื่อทำกำไรแบบเร็วๆ หรือเพื่อ Trading ควรเลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิต A- ขึ้นไป และ มีอายุไม่เกิน 3 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่นักลงทุนสถาบันนิยมลงทุน
ตลาดหุ้นต่างประเทศเผชิญอุปสรรคในการลดดอกเบี้ย แนะนำทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ตลาดย่อตัวโดย เน้น Balance พอร์ตการระหว่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จาก AI และหุ้นกลุ่ม Non-tech
ตลาดหุ้นสหรัฐฯทส่งสัญญาณการปรับฐานนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงกว่า 5% จากแรงกดดันเรื่องความกังวลด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่อาจคงดอกเบี้ยได้นานกว่าคาด โดยปัจจุบันตลาดมองธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ในเดือนกันยายน จากช่วงต้นเดือนที่มองลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง
ทั้งนี้ เมื่อนโยบายการเงินมีความเข้มงวดมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้จึงส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ซึ่งซื้อขายที่ valuation ระดับสูงเริ่มการปรับฐาน โดยปัจจุบันตลาดซื้อขาย Forward PE 20.5x และอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 0.5SD หากในปีนี้ ธนาคารกลางไม่มีการลดดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ดัชนีกลับมาซื้อขายที่ค่าเฉลี่ยที่ 19.3x หรือเทียบเท่าดัชนี 4,750 จุด
โดยในอดีต ผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังมีผลกระทบจำกัดต่อราคาน้ำมันและตลาดหุ้นแต่อาจสร้างจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุนได้เป็นระยะ ซึ่งแม้ว่าความความขัดแย้งจะได้ยกระดับมาเป็นปัญหาระหว่างอิสราเอล-อิหร่านโดยตรง แต่ปัจจุบันห่วงโซ่อุปทานด้านพลังงานยังไม่ได้รับผลกระทบกล่าวคือ ไม่มีปัญหาด้านการผลิตและการขนส่งน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจเป็นสัญญาณลบได้เมื่อมาพร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่ยืดยาวออกไป
ดังนั้น จึงแนะนำทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ตลาดย่อตัวโดย รอซื้อที่บริเวณดัชนี S&P500 ที่ 4,750 จุดซึ่งเป็นแนวรับทางพื้นฐานหากธนาคารกลางไม่มีการลดดอกเบี้ย โดยระยะสั้นตลาดอาจเผชิญความผันผวนในช่วงฤดูกาลประกาศงบไตรมาสแรก (เม.ย.-พ.ค.) และความกังวลด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่อาจคงดอกเบี้ยได้นานกว่าคาด แต่ในระยะยาวนั้น ทางนักวิเคราะห์หลายๆ สำนักยังคงมีมุมมองเชิงบวกโดยคาดการณ์กำไรของดัชนี S&P500 จะเติบโตเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้น Balance พอร์ตการระหว่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จาก AI และหุ้นกลุ่ม Non-tech ที่ผลประกอบการโดดเด่น
ขณะตลาดหุ้นจีนนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมายังคงปรับตัวในกรอบแคบ โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ไตรมาสแรกปี 67 ขยายตัวถึง 5.3% เทียบปีก่อน สูงกว่าคาดที่ 4.8% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 5.2% จากปีก่อน ขณะเดียวกันตัวเลข Fixed asset investment เดือน มี.ค. ขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาดที่ 4.0% และเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน สะท้อนว่าภาคเอกชนมีการลงทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยอดค้าปลีกกลับขยายตัวเพียง 3.1% ต่ำกว่าคาดที่ 5.1% บ่งชี้ถึงภาคการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลง
นักเศรษฐศาสตร์มองการเติบโตของ GDP ประเทศจีนในไตรมาส 1 ปี 67 นั้นไม่ได้แสดงถึงความแข็งแกร่งในทุกภาคส่วนทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังคงมีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน จีนกำลังเผชิญข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เริ่มจากนโยบายการคลังที่ไม่สามารถกู้เงินได้เหมือนในอดีตเนื่องจากปัจจุบันอัตราส่วน Debt to GDP อยู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์ของประเทศจีน ขณะเดียวกันธนาคารกลางไม่สามารถใช้นโยบายการเงินได้เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน เนื่องจากส่วนต่างของระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แตกต่างจากสหรัฐฯ ส่งผลให้จีนจะเผชิญอุปสรรคในการลดดอกเบี้ยเนื่องจากจะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง จึงเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว
ทั้งนี้ สำหรับนักลงทุนที่เน้นทำกำไรระยะสั้น สามารถเก็งกำไรได้บริเวณแนวรับดัชนี HSI index ที่ 16,200-16,000 จุด โดยเน้นหุ้นที่่รายงานผลประกอบการออกมาดี และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และพิจารณาขายที่แนวต้านบริเวณ 17,000 จุดขณะที่นักลงทุนระยะกลาง ยังคงแนะนำเลือกลงทุนผ่าน Structured Note เนื่องจากยังขาดปัจจัยหลายๆ ด้านที่จะทำให้ตลาดหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มส่งสัญญาณการปรับฐาน โดยได้รับแรงกดดันหลักจากค่าเงินด่องที่อ่อนค่าซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางเวียดนามกลับมาควบคุมสภาพคล่องและควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนโดยการออกตราสารหนี้ระยะสั้นอีกครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร (overnight rate) ปรับตัวสูงขึ้นและอาจสร้างความกังวลต่อนโยบายการเงินเวียดนามที่อาจกลับมาเข้มงวดมากขึ้นในระยะถัดไป
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยแนะนำขายทำกำไรในตลาดหุ้นเวียดนาม สำหรับนักเก็งกำไรเนื่องจากแรงกดดันด้านนโยบายการเงินดังกล่าว ประกอบกับการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นอาจก่อให้เกิดความผันผวนระยะสั้น และแนะนำติดตามกลับเข้าซื้ออีกครั้งเมื่อค่าเงินด่องกลับมาแข็งค่า โดยฝ่ายวิจัยมองตลาดหุ้นเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวจากภาคการส่งออกฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่ valuation ตลาดอยู่ที่ Forward PE 10.9x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 14.2x