นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 36.45-37.00 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.85 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ (17 เม.ย.) ที่ 36.69 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 36.60 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันพฤหัสฯ ที่ 11 เมษายน)
โดยนับตั้งแต่ช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบกว้าง (แกว่งตัวในกรอบ 36.33-36.87 บาทต่อดอลลาร์) ท่ามกลางปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่า เช่น ความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงขึ้น อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำ โดยเฉพาะในช่วงตลาดกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ในจังหวะที่เงินบาทได้อ่อนค่าทดสอบโซน 36.80 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องจนทะลุโซนดังกล่าวไปได้ใกล้ และยังคงแกว่งตัว sideways ในช่วง 36.70 บาทต่อดอลลาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ โดยเฉพาะแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ตราบใดที่ตลาดยังคงปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ โฟลว์จ่ายปันผลให้นักลงทุนต่างชาติสามารถกดดันเงินบาทได้ ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ ราคาพลังงาน ท่ามกลางความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ในตะวันออกกลาง
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways แต่หากตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น อาจหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อได้ นอกจากนี้ ต้องจับตาทิศทางเงินปอนด์อังกฤษและเงินเยนญี่ปุ่น ในช่วงตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษและญี่ปุ่น
สำหรับสัปดาห์นี้ ควรจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินในระยะสั้น นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง BOE และ BOJ ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ และญี่ปุ่น