ประเมินภาพรวมหุ้น “วีจีไอ” อยู่บนทิศทางฟื้นตัว หลังตัดขายหุ้น “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” หมดพอร์ตปลดล็อกการแบกรับผลขาดทุน ดันเงินสดล้นเหลือจนต้องลุ้นจ่ายปันผล ส่วนกำไรสดใสน่าจะได้เห็นช่วงปี 2569
แม้จะตัดจำหน่ายภาระอันหนักอึ้งอย่าง บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) (KEX) ออกไป แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นของบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) (VGI) ยังไม่ตอบรับเท่าที่ควรกับโอกาสในการฟื้นตัวทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
ต้องยอมรับว่านักลงทุนรับรู้ข่าวที่ “กลุ่มบีทีเอส” ของเจ้าสัว “คีรี กาญจนพาสน์” จะขายหุ้น KEX ออกมาแล้วพักใหญ่ นั่นทำให้เริ่มมีแรงทยอยเข้าเก็บหุ้นในเครือที่จะได้รับผลบวกจากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น (BTS และ VGI) ดังนั้นเมื่อมีการประกาศข่าวตัดขายหุ้น KEX ออกมา ราคาหุ้น VGI และ BTS จึงขยับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวดีดังกล่าวเพียงเล็กน้อย
เนื่องด้วยภาวการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมายังรักที่จะเคลื่อนไหวในแดนลบมากกว่าแดนบวก ยิ่งทำให้หุ้นในตลาดขยับตัวน้อยลงตามปริมาณซื้อขายที่เหือดแห้งตามไปด้วย (ล่าสุด 5 เม.ย.67 ปริมาณซื้อขาย 2.68 หมื่นล้านบาท) เรื่องนี้จึงถือเป็นการบ้านที่สำคัญที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหาทางแก้ไข
กลับมาที่ VGI เมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 “กวิน กาญจนพาสน์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และประธานคณะกรรมการบริหาร VGI ออกมาให้ข่าวว่า VGI ได้ขายหุ้น KEX ออกหมดทั้งจำนวนที่ถืออยู่ 269,230,900 หุ้นคิดเป็น 15.45% ตามที่ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้น KEX ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค.67 ทำให้บริษัทจะได้รับเงินจากการขายหุ้นประมาณ 1.5 พันล้านบาท เรียกว่าเป็นการเทหมดหน้าตักที่ถืออยู่
ขณะที่ BTS โฮลดิ้งใหญ่ของกลุ่มเลือกที่จะขายออกไป จำนวน 2.72% จากที่ถืออยู่ 5.72% โดยยังเหลือ 3% เพื่อรอให้ราคาหุ้นขึ้นไปกว่านี้ค่อยทยอยขายออกไป สอดคล้องกับความคิดเห็นของเจ้าของอาณาจักรอย่าง “เจ้าสัวคีรี” ที่ยังเชื่อมั่นว่าทิศทางธุรกิจโลจิสตกิส์ยังไปได้อีกไกล
“กลุ่ม BTS และ VGI จะขายหุ้น KEX ที่ถืออยู่ออกเพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจการขนส่งโลจีสติกส์ยังคงเป็นธุรกิจที่มีอนาคต แม้ปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการหลายรายจัดส่งสินค้าเอง แต่เชื่อว่าเมื่อความต้องการการขนส่งสินค้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และผู้ประกอบการจะต้องหันมาใช้บริการบริษัทขนส่งเช่นเดิม เพราะสะดวกสบายกว่า”
อย่างไรก็ตาม การที่ VGI ถือหุ้นใน KEX ในสัดส่วนที่สูงและแบกภาระการขาดทุนมาต่อเนื่อง ย่อมสร้างผลกระทบต่อบริษัทในความน่าเชื่อถือเช่นกัน โดยสัญญาณที่ชัดเจน เช่น ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) ได้ดำเนินการขายหุ้น VGI ออกไปจำนวนทั้งหมด 10 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.0893% เมื่อวันที่ 6 ก.พ.67 ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด
ส่งผลให้ภายหลังวันที่ทำธุรกรรม บลจ.บัวหลวง ถือหุ้น VGI จำนวน 550.04 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.9135% จากเดิมก่อนหน้านี้ถืออยู่ 560.04 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.0028%
อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันดีว่าเดิม BTS และ VGI ลงทุน KEX ตั้งแต่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีราคาต่ำกว่า IPO หุ้นละประมาณ 18-19 บาท/หุ้น ขณะที่ราคา IPO อยู่ที่ 28 บาท และมาวันนี้ยอมขายออกในราคา 5.50 บาท/หุ้น จะปลื้ม จะพอใจแค่ไหนลองถามใจเธอดู?
ขณะเดียวกัน ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น KEX ไปดำเนินการในเรื่องใดบ้าง โดยฝ่ายบริหารคงต้องมีการหารือกันต่อไป แต่มั่นใจว่าการขายหุ้น KEX ทั้งหมดดังกล่าวจะทำให้ผลประกอบการของ VGI ดีขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอน เพราะที่ผ่านมา VGI ต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจาก KEX
“ผลประกอบการ VGI ปีนี้น่าจะเป็นบวก เพราะไม่ต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจาก KEX อีก อย่างปีที่แล้ว KEX ทำให้ VGI ขาดทุนเกือบ 8 พันล้านบาท เมื่อไม่มีผลขาดทุนของ KEX ก็ย่อมดีกว่าเยอะเลย เพราะโฆษณาของ VGI ทำกำไรอยู่แล้ว” นายกวิน กล่าว
แต่ที่น่าสนใจสำหรับ VGI นั่นคือวินัยในการลงทุน ไม่ฝืนดื้อดึง โดยบริษัทได้บันทึกขาดทุนจากการลงทุน KEX ไปแล้ว โดยในงบการเงินในไตรมาส 3 งวดปี 66/67 ซึ่งบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัทร่วม 2.94 พันล้านบาท จากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX, JMART และบริษัท แอดซ์ เจ้าพระยา จำกัด
ส่วนการลงทุน บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) นั้น VGI ยังคงถืออยู่ 13.66% และ บมจ.แรบบิท โฮลดิ้งส์ (RABBIT) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม BTS ไม่มีแนวคิดขายหุ้นออก เพราะเห็นว่าธุรกิจ JMART และ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ตทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี
พร้อมกับยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีการลงทุนใดๆ เพิ่มเติมในขณะนี้ เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ดี โดยปี 2567 บริษัทจะโฟกัสธุรกิจที่มีอยู่ โดยเฉพาะธุรกิจโฆษณาที่เป็นธุรกิจหลัก เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ธุรกิจ VGI น่าจะเป็นบวกหลังไม่มีภาระขาดทุนของ KEX มาถ่วงแล้ว
ทั้งนี้ ภายหลังธุรกรรมดังกล่าวจะทำให้ VGI และ BTS พ้นจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน KEX จากก่อนหน้านี้ VGI เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในสัดส่วน 15.45% และ BTS ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ในสัดส่วน 5.72% ขณะที่บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส สัดส่วน 62.66%
นั่นทำให้เริ่มมีกระแสแนะนำให้นักลงทุนหันมาพิจารณา VGI จากโอกาสทางธุรกิจที่จะพลิกฟื้น เพราะเชื่อว่าหลังประกาศขายหุ้น KEX จะส่งผลให้ผลขาดทุนของ VGI มีแนวโน้มลดลง ในช่วงต้นปี 2568 (เม.ย.2567-ก.ย.2568) และ VGI จะมีเงินสดก้อนโต 6.54 พันล้านบาท
โดยจำนวนเงินสดจะคิดเป็น 35% ของมูลค่าตามราคาตลาดของ VGI ซึ่งคาดว่าบริษัทจะนำเงินสดมาจ่ายเป็นเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/67 (สิ้นสุดมีนาคม 2567) และการปันผลนี้น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลบวกต่อราคาหุ้นของ VGI ในระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจเมื่อ VGI ตัดขายหุ้น KEX นั่นคือบริษัทจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนประมาณ 160 ล้านบาทต่อไตรมาส หรือ 640 ล้านบาทต่อปี จาก KEX อีกต่อไป โดยหลังจากได้ตรวจสอบกับ VGI แล้ว ไตรมาส 4/2567 (สิ้นสุดมีนาคม 2567) จะเป็นไตรมาสสุดท้ายที่ VGI จะบันทึกผลขาดทุนจาก KEX ในงบกำไรขาดทุน
โดยคาดว่า VGI จะขาดทุนเล็กน้อยประมาณ 110 ล้านบาท ในปี 2568 แต่ผลขาดทุนนี้จะน้อยกว่าขาดทุนสุทธิ 3.6 พันล้านบาท ในปี 2567 (ขาดทุนจากการดำเนินงานหลัก 1.1 พันล้านบาท) และคาดว่า VGI จะกลับมามีกำไรอีกครั้งในปี 2569 (เม.ย.2568-ก.ย.2569)
นอกจากนี้ ในแง่ของความแข็งแกร่งทางการเงิน ก่อนการขายเงินลงทุนใน KEX พบว่า VGI มีเงินสดคงเหลืออยู่ประมาณ 5.14 พันล้านบาท รวมถึงสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียน และเมื่อรวมเม็ดเงินที่จะได้รับจากการขายหุ้น KEX อีก 1.5 พันล้านบาท จะส่งผลให้บริษัทมีเงินสดคงเหลือ 6.54 พันล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทในตลาดหุ้นที่จะมีสัดส่วนเงินสดสูงขนาดนี้ เมื่อเทียบกับมูลค่าตามราคาตลาด
และเมื่อทุกอย่างดูดีพร้อมเป็นใจต่อการฟื้นตัวทุกอย่างแล้วทำไมราคาหุ้น VGI จึงยังไม่ขยับตัวสักที ล่าสุด (9 เม.ย.) ราคาหุ้นขยับขึ้นเล็กน้อยปิดที่ 1.69 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ 2.42% มูลค่าการซื้อขาย 118.38 ล้านบาท
ขณะที่งบการเงิน 4 ปี ย้อนหลัง (ปี 2563-2566) บริษัทมีรายได้รวม 4.24 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 1.42 พันล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 3.24 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 979.77 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 4.42 พันล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 120.2 ล้านบาท ปี 2566 รายได้รวม 5.77 พันล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 64.88 ล้านบาท
ส่วนงบการเงินล่าสุด ไตรมาส 3 ปี 2566/67 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการและการขายจำนวน 1.33 พันล้านบาท ลดลง 3.1% YoY โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากบริษัท แฟนสลิ้งค์คอมมูนิเคชั่น จำ กัด (Fanslink) ซึ่งถูกบันทึกอยู่ภายใต้ธุรกิจการจัดจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน และธุรกิจบริการด้านดิจิทัล รวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก ภายใต้บริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) (TURTLE) แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแรงในไตรมาส 3 ปี 2566/67
นอกจากนี้ บริษัทยังขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 2.94 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจาก KEX และ Jaymart รวมถึงมีการบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้า และบริษัทร่วม 266 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของ KEX และทำให้ VGI มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 3.53 พันล้านบาท
สำหรับข้อชี้แจงต่อผลดำเนินงานที่เกิดขึ้นในไตรมาสท3 ปี 2566/67 บริษัทรายงานว่า ได้เผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย อันเนื่องมาจากการลดลงของผลการดำเนินงานในบริษัทร่วมซึ่งบริษัทไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยรายการดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วม ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบเป็นอย่างมากต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของบริษัทตลอดทั้งปี 2566/67 นอกจากนี้ ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุน (ทางบัญชี) ดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อกำไรสะสม ทำให้บริษัทระงับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
นั่นเพราะเมื่อมองไปในอนาคต VGI ตระหนักถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และได้ดำเนินการเชิงกลยุทธ์เพื่อทำให้ผลการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น โดยบริษัทเชื่อว่าช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยเหตุนี้แนวโน้มกำไรจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สถานะทางเงินสดของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยรองรับการฟื้นตัวของบริษัทได้เป็นอย่างดีในอนาคตอันใกล้นี้
ด้านฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ตามที่ VGI รายงานการขายหุ้น KEX ทั้งหมดที่ถือ 15.45% ถือเป็นในเชิงบวกต่อผลประกอบการงวด 2567/68 ที่คาดขาดทุนลดลง และช่วยลดความผันผวนของกำไร แนวโน้มไตรมาส 4 ปี 66/67 คาดยังขาดทุนเพิ่มขึ้นเทียบไตรมาสก่อนและปีก่อน นอกจากเข้า Low season ยังรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Distribution และยังมีส่วนแบ่งขาดทุนจาก KEX
โดยปรับประมาณการสะท้อนผลกระทบจากการขายหุ้น KEX ที่ลดลง ด้วยการปรับลดผลขาดทุนในปี 2567/68 ลง แต่ปรับลดประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2569/70 ลงเฉลี่ย 7% และคงคำแนะนำ “ซื้อ” เพราะมองว่าผลประกอบการผ่านช่วงแย่สุดไปแล้ว ขณะที่ปี 2567/68 คาดบริษัทจะขาดทุนลดลงหลังตัดขายธุรกิจ KEX ช่วยลดภาระขาดทุน จึงปรับลดมูลค่าพื้นฐานปี 2566/67 จากเดิมที่ 2.16 บาท เป็น 2.01บาท
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่า VGI จะได้รับประโยชน์มากกว่า BTS เพราะถือหุ้นใน KEX มากกว่า ขณะที่ BTS จะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากการที่รับรู้ผลขาดทุนของ KEX น้อยลง ทำให้ภาพลักษณ์ผลประกอบการดีขึ้น แม้จะมิได้ส่งผลต่อผลประกอบการโดยรวม เนื่องจาก BTS ถือหุ้นใน KEX น้อยแค่ 5.72% ส่วนเหตุที่ BTS ไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน KEX ทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นเพราะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และยังหวังว่าผลประกอบการของ KEX จะดีขึ้น ทำให้ราคาเป้าหมาย BTS เฉลี่ยที่ 8.18 บาท และราคาเป้าหมาย VGI ที่ 2.35 บาท