เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ ลุ้น (ร่าง) วาระแห่งชาติส่งเสริมการมีบุตร ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน เม.ย.นี้ หากไฟเขียวจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมส่งซิก Q1 All Time High ต่อเนื่อง เร่งปักหมุด 2 แลนด์มาร์กใหม่ ด้าน 2 โบรกฯ แนะซื้อ ประสานเสียงให้กรอบราคาเป้าหมาย 12-16 บาทต่อหุ้น ฟันธงผลการดำเนินงานไตรมาสแรกส่อแววกำไรพุ่ง
นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) GFC ผู้ให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากแบบครบวงจร เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศนโยบายส่งเสริมการมีบุตร เป็นหนึ่งใน 13 นโยบายสำคัญของภาครัฐบาล โดยคาดว่า (ร่าง) วาระแห่งชาติส่งเสริมการมีบุตรจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือน เม.ย.นี้ ทาง GFC ในฐานะผู้ให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากแบบครบวงจร มองว่าหากร่างมติดังกล่าวได้รับการอนุมัติจะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ จากอัตราผู้เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา ดีมานด์ยอดผู้เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากกับทาง GFC ในสาขาพระราม 3 ตั้งแต่การรับบริการตรวจเบื้องต้น การรักษาด้วยวิธี IUI การรักษาด้วยวิธี ICSI การตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS และการฝากไข่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเดือน ก.พ. มีผู้เข้ามารับการรักษาสร้างสถิติสูงสุดของไตรมาสแรก ทำให้บริษัทคาดการณ์ว่าภาพรวมของรายได้จากอัตราการรักษาในไตรมาส 1/2567 มีแนวโน้มปรับตัว ทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2566 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชและเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากของ GFC ที่สามารถตอบโจทย์อัตราความสำเร็จ (Success Rate) ในการตั้งครรภ์ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอกย้ำถึงผลประกอบการที่ก้าวสู่ระดับ All Time High ของ GFC
สำหรับความคืบหน้าในการเปิดให้บริการ 2 สาขา (สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และสาขาอุบลราชธานี) ซึ่งจะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ สำหรับรองรับผู้เข้ารับการรักษาและเข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากทั้งกลุ่มคนไทยและต่างประเทศนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GFC กล่าวว่า ทั้ง 2 สาขาจะเริ่มเปิดดำเนินงานได้ประมาณปลายไตรมาส 2/2567 ซึ่งจะส่งผลให้ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2567 เป็นต้นไป GFC จะมีสาขาเปิดดำเนินการครบทั้ง 3 สาขา จากปัจจุบันที่มีเพียงสาขาพระราม 3 เพียงสาขาเดียว
โดยจะสอดรับกับแผนการขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าต่างชาติเข้ามารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ GFC ต้องเร่งแผนกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อรองรับกับดีมานด์กลุ่มผู้เข้ารับบริการรักษาผู้มีบุตรยาก ทั้งคนไทยและต่างชาติในอนาคต สอดรับกับ 2 บริษัทหลักทรัพย์ที่แนะนำหุ้น GFC พร้อมประเมินอัตราการเติบโตไตรมาส 1/2567
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของรายได้ของ GFC ประเมินรายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2567 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากมีกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งถึง 77 ล้านบาทในปี 2566 โดยคาดว่า GFC ทำรายได้ไตรมาส 1/2567 สูงสุดถึง 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% (QoQ) และ 33.6% (YoY) โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 26% และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2567 ที่ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้ประเมินการเติบโตทั้งปีของ GFC โดยคาดว่ามีกำไรสุทธิที่ 112 ล้านบาท และรายได้คาดว่าแตะ 502 ล้านบาท แนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมาย 16 บาท เมื่อเทียบกับระดับ P/E ที่ 31 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรสุทธิ ไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% (QoQ) และ 29% (YoY) รับปีมังกร โดยคาดรายได้เพิ่มขึ้น 8% (QoQ) และ 27% (YoY) จากทั้งจำนวนผู้มีบุตรยากที่เข้ามารับบริการรักษามีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% (YoY) และปี 2568 อยู่ที่ 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% (YoY) จากผลการเปิดสาขาใหม่ สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และอุบลราชธานี ปลายไตรมาส 2/2567 อีกทั้งบริษัทได้การนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ขยายห้อง LAB ที่เป็นมาตรฐานสากลเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติที่จะเข้ารับบริการเป็นปีแรก และจะเริ่มเห็นลูกค้าจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย 12 บาท อิง P/E 25 เท่า