นีโอ คอร์ปอเรท ปิดเทรดวันแรกเหนือจอง 7.25 บาท หรือ 18.59% มูลค่าซื้อขาย 3,518.19 ล้านบาท ผู้บริหารมั่นใจด้วยศักยภาพของบริษัทฯพร้อมวางรากฐานแกร่ง ยกระดับเทคโนโลยีสมัยใหม่ขยายกำลังการผลิตภายในโรงงาน คลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ พร้อมกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล เชื่อหนุนให้ NEO เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน
บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด(มหาชน) หรือ NEO หุ้นไอพีโอน้องใหม่ เข้าซื้อขายตลาดหุ้นวันนี้วันแรก มีราคาเปิดในวันแรกอยู่ที่ 48 บาท เพิ่มขึ้น 9 บาท เหนือจอง 23.07% จากราคา IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 39 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 48.50 บาท ต่ำสุดที่ 42.75 บาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 46.25 บาท เพิ่มขึ้น7.25 บาท หรือ 18.59% มูลค่าซื้อขาย 3,518.19 ล้านบาท
สำหรับ NEO มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวนรวม 87.5 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 78 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ 9.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ผู้มีอุปการคุณของบริษัท และนักลงทุนสถาบันและบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEO กล่าวว่าได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่วางรากฐานอย่างแข็งแกร่ง การยกระดับเทคโนโลยีสมัยใหม่ขยายกำลังการผลิตภายในโรงงาน คลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ พร้อมกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์โดดเด่นเทียบเท่าระดับสากล จะช่วยสนับสนุนให้ NEO เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยบริษัทฯ มีเป้าหมาย "มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค" เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น (Uplift The Essentials for Everyday Betterment)
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในปี 2567-2570 คาดว่าใช้เงินลงทุน 6,530 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก เพิ่มกำลังการผลิต 163,200 ตันต่อปี โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลสำหรับเด็ก เพิ่มกำลังการผลิต 18,100 ตันต่อปี และโครงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และระบบบริหารจัดการคลัง เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ 18,200 พาเลท โดยทั้งสามโครงการจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวมของบริษัทฯ เป็นประมาณ 416,082 ตันต่อปี และจำนวนพาเลทสำหรับคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ เป็นประมาณ 29,620 พาเลท ในปี 2570