ตลาดหุ้นผ่านพ้นสัปดาห์แรกของไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว โดยบรรยากาศการซื้อขายมีสภาพซบเซา ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่เบาบาง และภาวะหุ้นที่ซึมเซามีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปอย่างน้อยก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์
แม้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลายสำนักจะทำนายว่าแนวโน้มหุ้นไตรมาสที่ 2 จะกระเตื้องขึ้นจากไตรมาสแรก โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากมาย การท่องเที่ยวยังสดใส และปัจจัยกระตุ้นจากการลดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐบาล
แต่สถานการณ์การลงทุนจริงกลับไม่แตกต่างจากไตรมาสแรกแต่อย่างใด ดัชนีหุ้นแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบจำกัด และย่ำอยู่แถว 1,375 จุด ขณะที่มูลค่าซื้อขายลดฮวบ บางวันเคาะซื้อขายเพียง 2 หมื่นล้านบาทเศษ โดยไม่มีสัญญาณหุ้นจะกลับขึ้นสู่ความคึกคักในระยะสั้น
ข่าวดีที่นักลงทุนกำลังรอคอยคือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการงเงิน (กนง.) ของแบงก์ชาติ ในวันที่ 10 เมษายนนี้ เพราะตั้งความคาดหวังว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตันเศรษฐกิจ ซึ่งตลาดหุ้นจะได้รับอานิสงส์ด้วย
แต่ในมุมมองของนักการเงินและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ประเมินว่า กนง.ยังจะไม่ลดดอกเบี้ย แต่อาจจะลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นเวลาใกล้เคียงกับการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED
การลดดอกเบี้ยเป็นดาบสองคม แม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน แต่อาจทำให้เงินทุนไหลออก เพราะส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยในประเทศกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะถ่างออกมากขึ้น
ต่างชาติอาจย้ายเงินไปลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบัน ต่างชาติไทยยังขายหุ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก ขายหุ้นออกกว่า 6.9 หมื่นล้านบาท กดตลาดหุ้นซึมตลอดทั้งไตรมาส
การลดดอกเบี้ยจะเป็นข่าวดีที่ปลุกให้หุ้นฟื้นได้ ซึ่งหาก กนง.คงอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิม หุ้นจะขาดปัจจัยกระตุ้น และเงียบเหงาซบเซา ทั้งก่อนและหลังสงกรานต์ หรือเป็นไปได้ว่า
ในไตรมาสที่ 2 อาจไม่แตกต่างจากไตรมาสแรก โดยตลาดหุ้นมีลักษณะซึมลง จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ชี้นำ
ไตรมาสแรกดัชนีถูกตีกรอบให้เคลื่อนไหว ระหว่าง 1,350-1,400 จุด โดยลงไปแตะแนวรับที่ 1,350 จุดทีไรจะต้องเด้งกลับขึ้นมาใหม่ แต่เมื่อใดที่พุ่งขึ้นไปชนแนวต้าน 1,400 จุด จะถูกเทขายจนถอยลงมาตั้งหลักใหม่ทุกครั้ง การขึ้นลงของหุ้นจึงถูกจำกัดในช่วง 50 จุดเท่านั้น
นอกเหนือจากการลดดอกเบี้ย นักลงทุนไม่มีข่าวดีที่รอคอย แต่การลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นอย่างเร็วปลายไตรมาสที่ 2 หรือประมาณเดือนมิถุนายน หรืออีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้า
นักลงทุนจึงต้องตั้งตารอคอยต่อไป และทำใจยอมรับภาวะหุ้นซึม โดยลงทุนอย่างระมัดระวัง ประคับประคองตัวเองให้รอด จนกว่าท้องฟ้าในตลาดหุ้นจะเปลี่ยนสี
จากสีแดงที่เห็นเป็นประจำเกือบทุกวัน เปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใส
และระหว่างรอคอยการกลับตัวของดัชนี หุ้นอีกกลุ่มที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงคือ หุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์หรือหุ้นโบรกเกอร์ เพราะมูลค่าซื้อขายที่เหือดแห้งเหลือ 2-3 หมื่นล้านบาทต่อวัน
บริษัทโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ย่ำแย่ ผลประกอบการขาดทุน เพราะรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหุ้นทรุดฮวบ
แต่ถ้าเลือกได้ เลือกนั่งดูจอหุ้นเฉยๆ ดีกว่า โดยไม่ทำกิจกรรมใด ไม่ซื้อไม่ขายหุ้น เก็บกระสุนดินดำ กำเงินสดไว้ อดทนนั่งดูหุ้นเฉาต่ออีกสัก 2 เดือน
ปลายไตรมาสหลังแบงก์ชาติ หลัง FED ลดดอกเบี้ย เพดานด้านบนตลาดหุ้นน่าจะเปิดกว้างขึ้น