ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องในวันจันทร์ (8 เม.ย.) ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็จนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปมองว่าทองคำจะได้รับแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่ประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะถดถอย ขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่นๆ มองว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสงครามในยูเครนและฉนวนกาซาจะยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ
แต่ไม่ใช่นักวิเคราะห์ทุกคนที่เชื่อว่าราคาทองคำจะยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบ็อบ ปาร์คเกอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (International Capital Markets Association) ให้สัมภาษณ์ในรายการ "Squawk Box Europe" ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเมื่อวานนี้ว่า "มี 2 ปัจจัยที่ทำให้ผมคิดว่าราคาทองคำอาจจะไม่สามารถพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยแรกคือสิ่งที่ผมเรียกว่าผลกระทบของการไล่ซื้อ (Catch-up Effect) โดยเมื่อคุณพิจารณาตลาดทองคำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกในปีที่แล้วและในช่วงต้นปีนี้ คุณจะพบว่าราคาทองคำยังคงทำผลงานได้แย่กว่ามาก นักลงทุนจึงได้พากันแห่ลงทุนในทองคำมากขึ้น"
"ส่วนอีกปัจจัยนั้นคือการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นการยากที่จะได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าว โดยที่ผ่านมา ธนาคารกลางบางแห่งเข้าซื้อทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางในเอเชียได้พากันเพิ่มการซื้อทองคำเข้าสู่กองทุนสำรอง"
ราคาทองคำซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนด้านการเงินนั้น ได้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา แม้อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐค่อนข้างแข็งแกร่ง
สำหรับทิศทางในวันข้างหน้านั้น ปาร์คเกอร์กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ราคาทองคำมีแนวโน้มซบเซา โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำอย่างสมเหตุสมผล
"ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้ผมคาดการณ์ว่าโอกาสที่ราคาทองจะอยู่ในช่วงขาขึ้นมีน้อยมาก และผมคิดว่าขณะนี้ราคาทองมีความเปราะบางอย่างมากต่อการเข้าสู่ภาวะขาลง" ปาร์คเกอร์ กล่าว
บรรดานักลงทุนในตลาดจับตาการแสดงความเห็นจากเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยจำนวนกี่ครั้งในปีนี้ โดยที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหากเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 เม.ย.) สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าการคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะชะลอเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้