นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับ บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "NEO" ในวันที่ 9 เมษายน 2567
NEO ประกอบธุรกิจทำการตลาด ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภค ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ที่ประสบความความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งหมด 8 แบรนด์ ได้แก่ ไฟน์ไลน์ (Fineline) ดีนี่ (D-nee) บีไนซ์ (BeNice) เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) ทรอส (TROS) วีไวต์ (Vivite) สมาร์ท (Smart) และโทมิ (Tomi) โดย NEO มุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลายในราคาที่เหมาะสม เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค
NEO มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวม 87.5 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 78 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ (FNS) จำนวน 9.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ผู้มีอุปการคุณของบริษัท และนักลงทุนสถาบันและบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ในระหว่างวันที่ 28-29 มีนาคม และ 1-2 เมษายน 2567 ในราคาหุ้นละ 39 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,042 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,700 ล้านบาท โดยมี บล.ทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า NEO มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้บริโภค ด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สะสมมากว่า 30 ปี กลยุทธ์ในการทำการตลาด และการวิจัยและพัฒนา ทำให้ NEO สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ การเข้าจดทะเบียนจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตในอนาคต โดย NEO มีแผนที่จะนำเงินระดมทุนส่วนใหญ่ไปขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง เพื่อรองรับแผนการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทในอนาคต
NEO มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวนายสุทธิเดช ถือหุ้นรวม 65.3% บริษัท ฟินันซ่า ฟันด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ถือหุ้นรวม 6.3% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน แผนการขยายธุรกิจ และปัจจัยอื่นๆ ที่เห็นสมควร