"เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์" รับอานิสงส์ “สมรสเท่าเทียม-สบส.ปลดล็อก พ.ร.บ.อุ้มบุญ” หนุนภาพรวมอุตสาหกรรมคึกคัก ส่อแววลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ด้าน CEO ประกาศเดินเกมรุกเพิ่มศักยภาพการรองรับลูกค้าในอนาคต ส่งซิกไตรมาสแรกสดใส All Time High ต่อเนื่อง เหตุมีผู้เข้ารับการรักษาสำหรับผู้มีบุตรยากล้น
นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) “GFC” ผู้ให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากแบบครบวงจร เปิดเผยว่า GFC ขานรับกฎหมาย “สมรสเท่าเทียมในไทย” และนโยบายการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงการให้บริการกับคู่รักสามีภรรยาที่มีลูกยากของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เช่น การปรับแก้คุณสมบัติผู้รับบริจาคไข่ ให้ญาติสืบสายโลหิตของภรรยาที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี และไม่จำเป็นต้องผ่านการสมรสสามารถเป็นผู้บริจาคไข่ได้ และยกเลิกเพดานอายุของภรรยาที่จะให้ผู้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน จากเดิมไม่เกิน 55 ปีเป็นมากกว่า 55 ปีขึ้นไป
หาก พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้สำเร็จจะเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถเข้ามาทำอุ้มบุญแบบถูกกฎหมาย จากปัจจัยดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อ GFC และภาคอุตสาหกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พบว่า ประเทศไทยมีอัตราความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 2.5% เพิ่มขึ้นจาก 46% เป็น 48% ดังนั้น หากการปลดล็อกดังกล่าวสำเร็จจะเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรมได้อย่างมาก
“การปลดล็อกดังกล่าวถือเป็นเฟสแรกในการผลักดัน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงหารือร่วมกันเพื่อหาวิธีการ และข้อกำหนดที่ควรระวัง รวมถึงกฎหมายที่จะนำมาใช้เป็นข้อบังคับที่ยึดถือร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ถือเป็นการเปิดโอกาสและเป็นแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมอย่างมาก ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์เชื่อว่าจะส่งผลดีในการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงรายได้ต่อธุรกิจให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต”
นายกรพัส กล่าวว่า ในส่วน GFC มีความพร้อมในการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยาก ทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และทีมแพทย์เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวอยู่แล้ว ตั้งแต่การรับบริการตรวจเบื้องต้น การรักษาด้วยวิธี IUI การรักษาด้วยวิธี ICSI การตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS และการฝากไข่ ดังนั้นหากทุกอย่างมีความชัดเจน GFC ก็มีศักยภาพในการดำเนินการรองรับกลุ่มลูกค้า ทั้งคนไทย และต่างชาติได้ทันที เนื่องจากบริษัทเตรียมแผนเปิด 2 สาขาใหม่ คือ สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และสาขาอุบลราชธานี ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป GFC จะเปิดให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก ครบ 3 สาขา (พระราม 3 สุวรรณภูมิ-พระราม 9 อุบลราชธานี) ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก และสอดรับกับการปลดล็อค “สมรสเท่าเทียม-พ.ร.บ.อุ้มบุญ” ได้ครบทุกมิติ
สำหรับสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และสาขาอุบลราชธานี จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่สำหรับรองรับผู้เข้ารับการรักษาและเข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากทั้งกลุ่มคนไทยและต่างประเทศ โดยสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงเทพฯ สู่การยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากครอบคลุมแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ขณะที่สาขาอุบลราชธานี จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จะสามารถรองรับลูกค้าทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากมีการเปิดให้บริการทั้ง 2 สาขาใหม่ จะช่วยส่งเสริมให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังได้ประเมินภาพรวมแนวโน้มยอดอัตราการเข้ารับการรักษาช่วงไตรมาส 1/2567 ว่า ไตรมาสแรกของปี 2567 มีกลุ่มลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพื่อเข้ารับการรักษาในสาขาพระราม 3 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทมียอดรับรู้รายได้โดยรวมในไตรมาส 1/2567 ท็อปฟอร์ม สร้างนิวออลไทม์ไฮใหม่ต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2566 ซึ่งปัจจัยบวกมาจากการเข้ารับการรักษาในประเทศเป็นหลักได้สะท้อนถึงความสำเร็จในเรื่องศักยภาพความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช และเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยาก ขณะเดียวกัน GFC สามารถตอบโจทย์ Success Rate หรืออัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ซึ่ง GFC มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้เราได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้า และสิ่งเหล่านี้ตอกย้ำถึงผลประกอบการสู่ All Time High อย่างต่อเนื่องของ GFC