xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) ทองคำมีลุ้นทะลุ 4 หมื่นบ. ราคาแรงจัด "กังวล" ฟองสบู่แตก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




 “ทองคำ” ทะยานสร้างสถิติใหม่ต่อเนื่อง แค่ 3 เดือนแรกปี 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเฉียด 4,000 บาท แถมมีลุ้นระยะสั้นดันราคาทองคำ 96.50% มีลุ้นซื้อขายที่ระดับ 4 หมื่นบาท ด้านกูรูออกโรงเตือนระวังเกิดฟองสบู่ แนะแบ่งขายทำกำไรในบางส่วน ดีกว่าเก็บตุน

เพียงแค่ 3 เดือนแรกของปี 2567 ราคาทองคำแท่งในประเทศ ชนิด 96.50% ก็สร้างสถิติใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4,900บาท (30มี.ค.) มาซื้อขายอยู่ที่ 38,550 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 39,050 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท

ขณะที่เดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียวราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 3,950 บาท (30มี.ค.) มากกว่า 2 เดือนก่อนหน้า อย่าง ม.ค. และ ก.พ. ที่ขยับเพิ่มขึ้นเดือนละ 550 บาท และ 400 บาทตามลำดับ (ราคาทองคำแท่ง) และจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าน่าจะมีโอกาสได้เห็นราคาทองคำ 96.50% ที่นิยมในประเทศไทย มีโอกาสขึ้นไปสร้างสถิติใหม่ยืนเหนือระดับ 40,000 บาทโดยเฉพาะทองคำรูปพรรณในเร็วๆนี้

ทั้งนี้หากย้อนเวลาถอยหลังไป 10 ปี (ปี 2557) ในเดือนสุดท้าย (ธ.ค.) ราคาทองคำแท่งสูงสุดอยู่ที่ 19,200 บาท และต่ำสุดอยู่ที่ 18,000 บาท ภาพรวมทั้งปี 2557 ราคาทองคำปรับตัวลดลง 400 บาท จากราคาสูงสุดในปีเดียวกันที่ระดับ 21,150 บาท และหากเปรียบเทียบกับปีราคาทองคำแท่งในปัจจุบันถือว่าเพิ่มขึ้น 17,400 บาท หรือ 82.26%

ขณะเดียวกันหากพิจารณาในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2562) ราคาทองคำแท่งในเดือนสุดท้าย (ธ.ค.62) สูงสุด 21,650 บาท และต่ำสุด 20,900 บาท โดยในช่วงเวลานั้นมีราคาสูงสุดที่ระดับ 22,400 บาท โดยหากพิจารณาจากราคาในปัจจุบันพบว่า ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 16,150 บาท เพิ่มขึ้น 72.09%

และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการนั่นคือ ราคาทองคำแท่งปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ถือเป็นช่วงขาขึ้นอย่างเด่นชัด อย่างเช่นปีที่ผ่านมา 2566 ราคาทองคำแท่งตลอดทั้งปีปรับตัวเพิ่มขึ้น 3,800 บาท โดยสูงสุดอยู่ที่ 34,400 บาท และต่ำสุดอยู่ที่ 29,650 บาท

เริ่มภาวะฟองสบู่ทองคำ

“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG )แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งที่ระดับ 2,234 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ณ วันที่ 28 มี.ค. 67 ส่งผลให้นับจากต้นปี หรือไตรมาสที่ 1/67 พบว่าราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 8%

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นมาในรอบนี้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเกิดความไม่มั่นใจ ว่าราคาทองคำขึ้นมาสูงจนจะเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่

ขณะที่ในกรณีนี้หากวิเคราะห์ตามปัจจัยพื้นฐานจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นมาของทองคำในตลาดโลกในภาพใหญ่ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานนับจากการระบาดของ Covid -19 และต่อเนื่องมาจากปัจจัยหนุนด้านภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่ อาทิ ในตะวันออกกลาง จากอิสราเอล-ฮามาส และทะเลแดง รวมไปถึง รัสเซีย-ยูเครน

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีรายงานว่าทางการจีนที่ได้ตั้งเป้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม 7.2% สู่ระดับ 1.67 ล้านล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้นด้วยอัตราสูงสุดในรอบ 5 ปี ยิ่งส่งเสริมให้นักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อทองคำย่อตัวลง จึงเป็นแรงซื้อทองคำที่เข้ามาคอยช่วยให้ราคายกระดับต่ำสุดขึ้น และแน่นอนว่าราคาทองคำได้ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างเต็มรูปแบบในปีนี้

ทำให้โดยรวมประเมินว่าในระยะสั้นนี้ทองคำยังมีความเสี่ยง เนื่องด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างไกลแล้ว จึงอาจเกิดแรงขายสลับเข้ามาได้ นั่นเพราะในส่วนของแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายจากเฟด หากพิจารณาข้อมูลในรายงานประมาณภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ในเดือน มี.ค. อย่างถี่ถ้วน

สำหรับปี 2567 มีการปรับขึ้นของคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐ แต่ทำการปรับลดอัตราการว่างงานลง นอกจากนั้น แม้ว่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) จะอยู่ที่การลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งเท่าเดิม แต่มีการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2568 และ 2569 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มระดับอัตราดอกเบี้ยที่อาจคงไว้ที่ระดับสูง

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนยังคงไม่วางใจต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ที่ชี้ว่า เฟดยังไม่อาจสามารถระบุถึงช่วงเวลาในการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้

“ในระยะสั้นทองคำอาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง จากทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯรวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแรงขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ในระยะถัดไปแม้ราคาทองคำอาจมีช่วงปรับฐานลงมาบ้าง แต่จะมีแรงซื้อเข้ามาพยุงในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และหากกลางปีนี้เฟดทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีก 2-3 ปี เราคาดว่าภาพใหญ่ของทิศทางทองคำในปีอีก 2-3 ปี จะยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น"

ทำให้แนะนำว่าหากนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในมือและมีกำไรในช่วงนี้ควรแบ่งขายทำกำไร เนื่องจากปกติหากทองคำปรับขึ้นรอบใหญ่จะต้องมีการขายทำกำไรออกมาทุกครั้ง ดังนั้นในระยะสั้นราคาทองคำอาจจะปรับตัวลดลงมาก่อน แต่ระยะยาวยังคงรักษาทิศทางขาขึ้นไว้ได้ โดยให้แนวรับที่ 2,144-2,075 ดอลลาร์/ออนซ์ แนวต้านที่ 2,266-2,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมองแนวรับที่ 36,600-35,500 บาทต่อบาททองคำ แนวต้านที่ 38,750-39,300 บาทต่อบาททองคำ

หลายชาติแห่ซื้อหวังลดความเสี่ยง

ขณะเดียวกัน เมื่อเร็วๆนี้ นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ แสดงความเห็นถึงการพุ่งขึ้นของราคาทองคำว่า ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และการปรับขึ้นแรงในรอบนี้ไม่เพียงเกิดจากการออกมาส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เท่านั้น แต่เพราะรอบนี้มี นักลงทุนรายใหญ่เข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเป็นธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ซื้อทองคำสำหรับเก็บเป็นทุนสำรองของประเทศ เพราะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีความกังวลว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีความไม่มั่นคง

ทั้งนี้ ยอมรับว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะราคาทองคำในปีนี้ผ่านไปเพียง 3 เดือน ราคาทองคำปรับขึ้นไปกว่า 10%

ดังนั้นแนวโน้มราคาทองคำแท่งในระยะสั้นช่วงไตรมาส 2 นี้ คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะแตะ 38,000 บาท/บาททองคำ และอาจขึ้นไปแตะที่ 40,000 บาท ในช่วงที่เฟดปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าจะประมาณเดือน มิ.ย.นี้ จึงแนะนำผู้ที่จะลงทุนทองคำ ให้เข้าซื้อในจังหวะที่ราคาทองย่อลงเล็กน้อย

หลายปัจจัยกดดันบาทอ่อนค่า

นายพิชญา พิสุทธิกุล อุปนายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงสาเหตุที่ราคาทองคำปรับขึ้นมาช่วงนี้ว่า เกิดจากปัจจัยความตึงเครียดสงครามรัสเซีย ที่มีการก่อการร้ายและอาจจะยืดเยื้อต่อไป และค่าเงินบาทอ่อนค่าที่ 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปกติอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติเริ่มนำเงินออกจากตลาดหุ้นไทย หลังได้รับเงินปันผล

ขณะที่มีรายงานว่านักลงทุนยังกังวลฐานะทางการเมืองที่ไม่มั่นคงของไทย โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพของกฎหมายไทย เพราะได้เห็นตัวอย่างจากกรณีกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้คนที่มีความผิดทางการเมืองพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลและไม่ต้องติดคุก ทำให้กฎหมายไทยขาดเสถียรภาพ จนนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักลงทุนใช้เป็นข้ออ้างเรื่องค่าแรงแล้วเริ่มย้ายฐานการผลิตไปในเวียดนาม

ส่วนทิศทางราคาทองคำจากนี้ คาดว่ามีโอกาสปรับขึ้นไปถึงบาทละ 40,000 บาท หากค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องที่ระดับ 37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จึงแนะนำขายทองคำเพื่อทำกำไรออกบางส่วน และเข้าซื้อเก็งกำไรประมาณ 25% ที่ผ่านมา หลายปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกได้สร้างมูลค่าให้แก่ทองคำ ทำให้กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าอย่างไม่หยุดนิ่ง จน “ทองคำ” มีลักษณะกลายเป็นเงินอีกสกุลที่มีความเป็นสากลไม่น้อยหน้าสกุลเงินอื่นๆ และกลายเป็นช่องทางการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี

นั่นเพราะทองคำสามารถรักษามูลค่าของตัวเองผ่านกาลเวลาได้ และเป็นเหมือนสิ่งที่สามารถใช้ส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้ ยิ่งในช่วงเวลานี้เงินสกุลใหญ่ของโลกอย่าง “ดอลลาร์สหรัฐ” มีความอ่อนแอลงมาก ทำให้นักลงทุนหลายคนปรับพอร์ตเก็บสะสมทองคำไว้ในทุนสำรองมากขึ้น

อย่างไรก็ดี “ทองคำ”ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้มีข้อมูลจาก BullionVault ชี้ว่า ปริมาณผลผลิตจากเหมืองทอง ลดลงมาเหลือ 2,444 เมตริกตันในปี 2007 จากระดับ 2,573 ตันในปี 2000 หลังจากนั้นการผลิตทองคำถึงได้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดพีกที่ 3,300 ตันในปี 2018 และ 2019 ก่อนที่จะสูงขึ้นไปถึง 3,644 เมตริกตันในปี 2023

ขณะที่การลดลงของการผลิตทองคำในช่วงเร็ว ๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสจะเกิดแรงกดดันต่ออุปทานของทองคำขึ้น และคาดว่าอาจจะใช้เวลาสัก 5-10 ปี ในการทำเหมืองทองใหม่ ๆ เข้าสู่กระบวนการผลิตทองคำ นั่นย่อมส่งผลให้ราคาสูงขึ้นเป็นธรรมดา

ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทย มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท (1-5 เม.ย.) ไว้ที่ระดับ 36.00-36.80 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของไทย สัญญาณเงินทุนต่างชาติ (Flow) และทิศทางของค่าเงินเอเชีย

โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนมี.ค. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.พ. รวมถึงข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนมี.ค.ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ

ทั้งนี้ มีการประเมินว่าอาจเห็นสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินจากทางการจีนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะที่เงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งสะท้อนว่า จังหวะเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อาจไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้


กำลังโหลดความคิดเห็น