ฟินันเซียไซรัสคาดกำไรกลุ่มแบงก์โค้งแรกปีนี้เพิ่มขึ้นแค่ 1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่โต 19% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังผลขาดทุนด้านเครดิต และค่าใช้จ่ายลดลง ขณะที่ปัญหา ITD มั่นใจเจ้าหนี้แบงก์ใหญ่จัดการได้ ประเมิน Q1/67 ของ 7 แบงก์อยู่ที่ 3.61% ทั้งปีคาดกำไรรวม 1.94 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.4% เทียบกับปี 66 ส่วนปี 68-69 กำไรโต 5% ต่อปี ให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด Top pick เป็น TTB
ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซียไซรัส (FSS) เปิดเผยว่า ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งในไตรมาสแรก หรือ Q1/67 มีกำไรฟื้นตัวเป็น 5 หมื่นล้านบาท เติบโต 19% QoQ จากฐานต่ำใน Q4/67 และเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้ปัจจัยหนุนจากผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) และค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน (OPEX) ที่ลดลง
ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังเป็นประเด็นที่ต้องกังวลแต่คาดว่าสามารถบริหารจัดการได้ แม้ NPL ใหม่ Q1/67 จะไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องจาก Q4/66 ส่วนมากจากกลุ่ม SME และรายย่อย หลังสิ้นสุดโครงการพักชําระ หนี้สิ้นปี 67 สอดคล้องกับประเด็นปัญหา ITD ที่แสดงออกมาให้เห็นมากขึ้น
คาด 7 แบงก์ใหญ่ NPL Q1/67 อยู่ที่ 3.61% หนี้ ITD จัดการได้
อย่างไรก็ตาม มองว่าสิ่งนี้สามารถจัดการได้ ผู้บริหารธนาคารส่วนใหญ่ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกและจัดสรรต้นทุนด้านเครดิตให้เพียงพอตั้งแต่ไตรมาส 4/66 สำหรับ ITD ธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ได้กันเงินสำรองพิเศษไว้แล้ว และจัดประเภทใหม่เป็นสินเชื่อระยะที่ 2
ดังนั้น เราจึงคาดว่าจะทำให้ NPL ratio ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 1/67 ของทั้ง 7 ธนาคารเป็น 3.61% ในขณะที่ต้นทุนด้านเครดิตคาดลดลงเหลือ 157bp จาก 178bp ในไตรมาส 4/66 ทำให้อัตราส่วนความคุ้มครองไตรมาส 1/67 เป็น 194% จาก 189% ในไตรมาส 4/66
ประเมินกำไรทั้งปี 67 อยู่ที่ 1.94 แสนล้านบาท ลดลง 0.4% จากปี66
ประเมินกำไรสุทธิรวมปี 67 อยู่ที่ 1.94 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.4% เทียบกับปี 66 โดยมีสาเหตุหลักมาจากฐานขนาดใหญ่ในปี 66 และผลกระทบเชิงบวกน้อยลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับปี 66 นอกจากนี้ แนวทางการดำเนินธุรกิจปี 67 ที่ธนาคารต่างๆ มีความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการเติบโตของสินเชื่อ โดย NIM มีตั้งแต่แบบคงที่ไปจนถึงแบบสัญญา Non-NII และการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับต่ำเพียงหลักเดียว และรักษา ECL และต้นทุนเครดิตในระดับสูง
สำหรับปี 68-69 เราคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตที่ 5.0% ต่อปี ตามสมมติฐานเชิงอนุรักษนิยม การเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียม
คงน้ำหนักน้อยกว่าตลาด ให้ TTB เป็น Top Pick
โดยรวมกลุ่มธนาคารยังขาดปัจจัยบวก พร้อมกับการเติบโตของกําไรสุทธิที่คาดว่าจะชะลอตัวในช่วงปี 67-69 เรายังคงให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด Top pick ยังเป็น TTB (ราคาเป้าหมาย 2.19 บาท) และมอง KTB (ราคาเป้าหมาย 19.90 บาท) เป็นบวกมากขึ้นหลังตั้งสำรอง ITD 100% แล้ว