บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC หนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ที่วางโรดแมปภายใน 5 ปี จะก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับการสร้างรายได้รวมของธุรกิจในกลุ่ม SC ให้เติบโตสู่ระดับ 150,000 ล้านบาท นั่นคือเป้าใหญ่ ที่ SC จะต้องเดินทางไปถึง บนสถานการณ์ที่สภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
วันนี้ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง และมีนวัตกรรม กล่าวถึง 'ฉากทัศน์ของ SC' ในการขยายสู่ธุรกิจสู่น่านน้ำใหม่
ทศวรรษที่ 3 จะมีความสำคัญต่อบริษัทอย่างไร
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่าวันนี้มา Recap อีกครั้ง โดยเราก้าวสู่ยุคทศวรรษที่ 3 สถานการณ์ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจผันผวนสูง การเมืองทั้งในประเทศและนอกประเทศมีความผันผวนสูง มีการเชื่อมต่อสูง ทั้งสองอย่างส่งผลกระทบต่อบริษัทได้อย่างรวดเร็ว และต่อทุกๆอุตสาหกรรม ทำให้ SC ต้องเน้นใน 2 เรื่อง คือ 1.การสร้างความหลากหลายในธุรกิจ ใน 1 ธุรกิจต้องมีสินค้าที่หลากหลาย หลากราคา และในยุคปัจจุบันเรื่องแหล่งเงินทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องมีแหล่งเงินจากสถาบันการเงิน จากตราสารหนี้ และจากพันธมิตรที่ร่วมทุน จะทำให้เราวิ่งได้ไกล และ 2.การสร้างคุณค่าเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
ดังนั้น นับจากนี้ไปอีก 5 ปี จะเน้น 3 ตัวเลขใหญ่ คือ ความมหาศาล ความมั่นคง และสมดุล โดยคำว่ามหาศาล คือ แต่ละปีรายได้ SC รวมกันเกิน 30,000 ล้านบาท รวม 5 ปี ตัวเลขไปสู่ระดับ 1.5 แสนล้านบาท เรื่องความมั่นคง คือ เงินลงทุน
และความสมดุล (ให้ความสำคัญที่สุด) โดย Engine 2 ต้องมีสัดส่วนกำไรมากกว่า 25% ภายใน 5 ปี และจะมีการจัดสรรงบลงทุน 15-20% เน้นลงทุนธุรกิจโรงแรม และอีคอมเมิร์ซ และเมื่อรวมกับธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า และอสังหาฯ เพื่อเช่าในสหรัฐฯ จะทำให้ใน 5 ปี เราจะไปสู่เป้ามหาศาล มั่นคง และสมดุล ได้ ขณะที่กำไร 75% มาจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย
โฟกัส JV ธุรกิจคอนโดฯ-คลังสินค้า-โรงแรม
"ใน 5 ปี เราจะลงทุนในส่วนของโรงแรมและคลังสินค้าค่อนข้างมาก เป็นธุรกิจที่มีเทรนด์ขาขึ้นทั้งคู่ วางเป้าเพิ่มห้องพักรวม 1,000-2,000 ห้อง มองกรุงเทพฯ ที่จะเพิ่มโรงแรมอีก พัทยาอยู่ระหว่างลงทุน 2 โครงการ และกำลังเลือกทำเลในภูเก็ต เป็นต้น ส่วนคลังสินค้า ลงทุนเพิ่มพื้นที่ปีละ 1 แสนตารางเมตร จากปัจจุบันมีพื้นที่รวม 1.7 แสนตร.ม."
สำหรับกลยุทธ์เรื่องการดึงพันธมิตรมาร่วมลงทุน (JV) นั้น หลักๆ จะเป็นธุรกิจโรงแรม คอนโดฯ และคลังสินค้า โดยในไตรมาส 2 ปีนี้ จะมีการประกาศร่วมทุนรายที่ 3 ในการพัฒนาโรงแรม และอยู่ในการเจรจาอีก 2-3 รายทั้งในกลุ่มแนวสูงและคลังสินค้า แต่ในปี 2568 จะได้เห็นการร่วมทุนในการพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่
จ่อเปิดบ้านเดี่ยว ขายแพงสุดหลังละ 200 ล้าน
"ยุคนี้ความผันผวนสูง หากเรามีการลงทุนขนาด 200-300 ไร่ ต้องเปิดออปชันในเรื่อง JV เนื่องจากมูลค่าโครงการสูง ซึ่งมีผู้สนใจต้องการมาร่วมทุนกับ SC การพัฒนาแนวราบ มีข้อดี เงินลงทุนไม่จม คืนผลตอบแทนเป็นเฟสๆ ได้ ความต้องการซื้อแข็งแรง และเห็นการเติบโตด้วย ราคาแนวราบที่เปิดขายสูงสุดตอนนี้ประมาณ 100 กว่าล้านบาท คอนโดฯ แพงสุด 400-500 ล้านบาทต่อยูนิต และในปี 68 พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว แบรนด์ใหม่ ทำเลในกรุงเทพฯ ราคาไปถึง 200 ล้านบาทต่อหลัง แต่ตอนนี้เราจะเน้นไปกับ 3 ธุรกิจที่กล่าวไปข้างต้น"
นำ 2 โมเดลอสังหาฯ เจาะคนรุ่นใหม่
บอกรับสมาชิกอยู่คอนโดฯ หรู-เช่าก่อนอยู่
จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่จะนิยมเช่าที่อยู่อาศัยมากขึ้นแทนการซื้อ โดยเฉพาะการเช่าคอนโดฯ เอสซีจึงอยู่ระหว่างศึกษาออปชันเสริมให้ลูกค้ากลุ่มนี้ใน 2 รูปแบบ กับกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.Subscription Model ในรูปแบบการสมัครเป็นสมาชิก แล้วจ่ายค่าสมัครสมาชิกเป็นรายเดือน เพื่อให้สามารถใช้สินค้าและบริการของเอสซี เช่น ลูกค้าสามารถเลือกห้องพักและเปลี่ยนห้องพักได้ในช่วงระยะเวลา 1 ปีได้ 2 ครั้ง รวมทั้งได้รับบริการพิเศษบางอย่างจากเอสซีด้วย เช่น เลือกใช้บริการ Facilities ในโครงการอื่นได้ และ 2.ออปชันพิเศษจะเป็นในรูปแบบ Rent to Own (เช่าก่อนแล้วมาเป็นเจ้าของ)
"พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ยังไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะการซื้อและโอนที่อยู่อาศัย ยังไม่ใช่คำตอบของชีวิต ต้องได้มีโอกาสเลือกก่อนหรือทดลองอยู่ก่อน ส่วนอีกกลุ่มที่มีปัญหาด้านรายได้ แต่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าอาจจะมีความพร้อมด้านการเงิน ก็สามารถเลือกเช่าห้องชุดไปก่อน แนวทางนี้จะช่วยลดเรื่องรีเจกต์เรตได้"