ตลาด "บ้านสร้างเอง" ซึ่งมีมูลค่าในระบบสูงถึง 172,000 ล้านบาท เป็นอีกตลาดที่บริษัทในธุรกิจรับสร้างบ้านพยายามเข้าไปชิงเค้กตลาดบ้านสร้างเองมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งมองเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และหาโอกาสที่จะเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ เช่น บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป (A5) บริษัทอสังหาฯ ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม ประกาศตัวเข้ามาทำตลาด เจาะเศรษฐีที่มีแลนด์แบงก์ หรือแม้แต่บริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของค้าปลีกชื่อดัง 'พอร์โต้ ชิโน่' คอมมูนิตีมอลล์พระราม 2 ได้เปิดตัวเข้าสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านเต็มรูปแบบ โดยมีการนำแบบบ้านยอดนิยมในโครงการของดี-แลนด์ มานำเสนอให้ลูกค้ารับสร้างบ้าน ภายใต้แนวคิด "สร้างบ้านคุณภาพ เพื่อคนสมุทรสาคร โดยคนสมุทรสาคร"
พีดี เฮ้าส์กางข้อมูล 'ตลาดรับสร้างบ้าน' ปี 66 ชะลอตัวลง
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจ้าของสิทธิและผู้บริหารมาตรฐานศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่าปริมาณและมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศปี 2566 (มิใช่บ้านจัดสรร) ชะลอตัวตามที่คาดการณ์ไว้ โดยในปี 2565 ปริมาณและมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท แต่ในปี 2566 พบว่าตัวเลขมูลค่าตลาดลดลงเหลือ 1.72 แสนล้านบาท หรือลดลงคิดเป็น 14% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ซบเซา ส่งผลให้กำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของประชาชนลดลง
ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ โดยกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านหรือศูนย์รับสร้างบ้าน พบว่า ปริมาณและมูลค่าตลาดปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ในปี 2565 ขนาดตลาดรับสร้างบ้านมีมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท แต่ปรากฏว่าปี 2566 ปรับตัวลดลงเหลือ 1.8 หมื่นล้านบาท หรือลดลงเฉลี่ย 18% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยมูลค่าตลาดที่ชะลอตัวและปรับลดลงมากที่สุดตามลำดับได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคอีสาน นับเป็นสัดส่วนที่ปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
สำหรับพีดีเฮ้าส์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลงเช่นกัน จนต้องมีการปรับตัวด้วยการขยายสาขาในพื้นที่ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก 3 จังหวัด ประกอบด้วย สาขากรุงเทพฯ (ลาดกระบัง) ชัยภูมิ และลพบุรี เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ตลอดจนเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านในจังหวัดนั้นๆ และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าพอใจ เพราะยังคงรักษาเป้ายอดขายบ้านที่ตั้งไว้ได้ สวนทางกับภาวะตลาดที่ซบเซา กอปรกับบริษัทเองหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการปรับปรุงคุณภาพวัสดุก่อสร้างมาตรฐานที่ใช้สร้างบ้านทุกหลัง โดยคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูง อายุการใช้งานยาวนาน และสะดวกต่อการใช้งานของเจ้าของบ้าน ตลอดจนสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งและบริษัทรับสร้างบ้านทั่วไป ตัวอย่างเช่น ประตู หน้าต่างอะลูมิเนียมชนิดชุบสี Anodize ของผู้ผลิต TOSTEM คุณภาพมาตรฐานระดับโลก เป็นวัสดุสร้างบ้านให้ลูกค้าทุกหลัง
ค่าครองชีพ-หนี้ครัวเรือน-ศก. กระทบตลาดปี 67
สำหรับแนวโน้มและทิศทางตลาดบ้านสร้างเองปี 2567 ประเมินว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคและประชาชนยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบสำคัญๆ ได้แก่ เศรษฐกิจและการค้าที่ซบเซา อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมธนาคาร ราคาวัสดุก่อสร้างและค่าก่อสร้างบ้านสูงขึ้นมาก ปัญหาค่าครองชีพและภาระหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กพื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 100-120 ตารางเมตร หรือราคาบ้านไม่เกิน 2 ล้านบาท และผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่พื้นที่ขนาด 500 ตารางเมตรขึ้นไป หรือราคามากกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับผลกระทบและมีสัดส่วนลดลงมากที่สุด
"ทั้งนี้ ปัญหาหลักๆ ได้แก่การฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจประเทศ และนโยบายภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ไม่ชัดเจนและล่าช้า ซึ่งยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกใดๆ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในการจับจ่ายใช้สอย หรือลงทุนในทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการลงทุนเรื่องบ้านหรือสร้างบ้านเอง"
นายสิทธิพร กล่าวต่ออีกว่า ตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศปี 2567 คาดว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะกำลังซื้อกลุ่มนักธุรกิจหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก และกลุ่มชาวต่างชาติ ที่ผ่านมา 2 กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดรับสร้างบ้าน แต่คาดว่าในปีนี้กำลังซื้อของ 2 กลุ่มนี้จะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ
อย่างไรก็ตาม ความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อที่ลดลงอาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านแตกต่างกันไป เพราะแนวโน้มผู้บริโภค จะนิยมใช้บริการกับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ประวัติและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ หรือมีแบรนด์เป็นที่น่าไว้วางใจ มากกว่าจะเลือกผู้ประกอบการที่ขาดความน่าเชื่อถือในการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ในสายตาของผู้บริโภคกลุ่ม Gen X และ Gen Y ยังให้ความสำคัญและสนใจที่จะเลือกใช้บริการกับผู้ประกอบการที่มีจุดยืนทางธุรกิจและจุดขายที่ชัดเจน
การแข่งขันเดือด มีผู้เล่นหน้าใหม่กระโจนทำตลาด
แนวโน้มการแข่งขันตลาดรับสร้างบ้านในปี 2567 พีดีเฮ้าส์ประเมินว่าการแข่งขันราคาจะรุนแรงในทุกเซกเมนต์ สาเหตุสำคัญๆ เกิดจากขนาดของตลาดรับสร้างบ้านที่หดตัว และการเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ตลอดจนการขยายสาขาหรือตลาดในพื้นที่ใหม่ๆ ของรายเดิม โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่ภาคอีสาน คาดว่าจะแข่งขันกันรุนแรงจากทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้น นอกจากนี้ การเริ่มรุกหนักตลาดรับสร้างบ้านของเอสซีจีในฐานะผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ อาจทำให้การแข่งขันในปีนี้ร้อนแรงขึ้นกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้หากผู้ประกอบการรายเดิมๆ และรายใหม่ที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ไม่ปรับตัวอาจแข่งขันลำบากและยากมากขึ้น
ด้าน น.ส.ถิรพร สุวรรณสุต ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร สายงานส่งเสริมธุรกิจ เปิดเผยถึงนโยบายและแผนกลยุทธ์ที่จะใช้ในแข่งขันในปี 2567 นี้ว่าเป็นปีที่บริษัทมีการปรับโครงสร้างการบริหารงานและบุคลากรภายในองค์กรใหม่ สืบเนื่องจากผู้บริหารรุ่นบุกเบิกเกษียณอายุงานหลายท่าน พร้อมทั้งมีการแต่งตั้งคณะผู้บริหารรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน ปีนี้จึงไม่ได้มุ่งแข่งขันหรือรุกตลาดรับสร้างบ้านมากนัก หรือกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนน้ำใหม่ จึงต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อมแทน โดยจะหันมาให้ความสำคัญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Gen X และ Gen Y มากขึ้น
"ในปี 2567 นี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายบ้านไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนๆ โดยเป้ายอดขายเฉลี่ยสาขาละ 30-50 ล้านบาท ปัจจุบันศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ มีสาขาทั่วประเทศรวม 31 สาขา อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัว และยังมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันเพิ่มขึ้นจำนวนมาก มีความเป็นไปได้ว่าปีนี้ยอดขายอาจพลาดเป้า แต่ไม่เป็นกังวลมากนัก เพราะว่ายังมีสต๊อกขายบ้านจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เตรียมเริ่มงานก่อสร้างในปีนี้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถช่วยชดเชยยอดขายปี 2567 ได้หากพลาดเป้าที่ตั้งไว้"
นายสิทธิพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ในมุมมองที่มีต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในปัจจุบันมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเมื่อ 20 ปีก่อน สมัยนั้นผู้บริโภคและสื่อมวลชนไม่เข้าใจว่า “ธุรกิจรับสร้างบ้านหรือบริษัทรับสร้างบ้าน” แตกต่างอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับ “ผู้รับเหมาสร้างบ้านทั่วไป” นั่นเพราะกลุ่มผู้ประกอบการมืออาชีพขาดการสื่อสารหรือประชาสัมพันธ์อย่างมีระบบ และขาดการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างจริงจัง จนมาถึง ณ ปัจจุบันโลกการสื่อสารเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารหรือสร้างการรับรู้และเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายมากขึ้น แต่กลับพบความไม่เข้าใจของผู้บริโภคว่า “ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่สื่อสารหรือโฆษณาและประชาสัมพันธ์กันอยู่มากมายนั้น รายใดเป็นมืออาชีพแท้จริง รายใดไม่ใช่มืออาชีพ รายใดแค่มือสมัครเล่น และรายใดเป็นมิจฉาชีพ” กระทั่งมีผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากการฉ้อโกงหรือหลอกลวงหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ จากการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของบรรดาผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้อย่างแยกไม่ออก ทำให้วันนี้ภาพลักษณ์ของธุรกิจรับสร้างบ้านถูกบั่นทอนความน่าเชื่อถือลงในสายตาผู้บริโภคและประชาชน ตลอดจนหน่วยงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นสิ่งที่น่ากังวลต่อการดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านในอนาคต