สำหรับนักลงทุนสายคริปโต ที่มีการเก็บสะสมบิทคอยน์มาแล้วจำนวนหนึ่ง มักมีการโอนถ่ายบิทคอยน์ จาก Exchange ย้ายมาเก็บไว้ใน Hardware Wallet อยู่เสมอ เนื่องจากเป็นวิธีเก็บรักษาที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งผู้ให้บริการจำหน่าย Hardware Wallet มีหลายแบรนด์ให้นักลงทุนสายคริปโต ได้เลือกใช้ แต่ไม่นานมานี้ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ใช้งาน Hardware Wallet ต่างเริ่มกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเก็บรักษาของผู้ให้บริการ Hardware Wallet แบรนด์ยักษ์ใหญ่
จากกรณีบริษัท Ledger ผู้ผลิต Hardware Wallet ชื่อดังระดับโลก ได้ทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์และกำหนดให้ผู้ใช้งานทุกคนต้องอัปเดต สร้างความกังวลให้กับผู้ใช้จำนวนมาก เนื่องจากหากไม่ทำการอัปเดตจะไม่สามารถใช้งาน HW ของตนได้
อ่านข่าวประกอบก่อนหน้านี้ "ลูกลุงโฉลก" โพสต์เดือด!! หลังเจอพิรุธ hardware wallet ยี่ห้อดังบังคับอัพเดต
ซึ่งอาจารย์ ตั๊ม พิริยะ สัมพันธารักษ์ กูรู Bitcoin ชื่อดัง ได้แสดงความคิดเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าผู้ใช้ Ledger จะไม่สามารถใช้งานกระเป๋าคริปโต ของตนได้หากไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์ ด้าน Kirsty Johnson รองประธานฝ่าย Business Operation ของ Ledgerได้ชี้แจงว่า การอัปเดตเฟิร์มแวร์มีความจำเป็นสำหรับการซิงค์ข้อมูลหรือการโอนถ่ายข้อมูล ซึ่งกรณีดังกล่าวสร้างความไม่มั่นใจให้กับเหล่าบิทคอยน์เนอร์
จากเหตุการณ์ดังกล่าว นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทย บิทแคสต์ จํากัด ได้ให้ความเห็นว่า ในตระกูล Ledger ทั้งหมด จะมี Ledger Nano S ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดเพราะว่าฟังก์ชั่น Ledger Recover ไม่ถูก Apply กับ Ledger Nano S, Firmware ของ Ledger Nano S ได้ถูกเปิดเผยเป็นสาธารณะ (Open source) เรียบร้อยแล้ว ความกังวลก็น่าจะลดลงไป ส่วน Ledger Nano S plus หรือ Ledger Nano X ต้องระมัดระวัง เพราะจะมีความเสี่ยงเรื่องของ ฟังก์ชั่น Ledger Recover
เนื่องจาก Source Code ของ Ledger ไม่ได้เปิดให้เข้าไปดูว่าทำอะไรกับมาสเตอร์ซีด (Master Seed) ของเราบ้าง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะมีใครเห็น Seed ของเราบ้างหรือไม่ ซึ่งหากไม่อัพเดทก็ใช้ไม่ได้ หากอัพเดต Firmware ก็มีโอกาสที่ Seed จะหลุดไปได้ หากไม่สบายใจควรทำอย่างไร?
หลักการก็คือ แนะนำให้ย้ายออก ไปอยู่ใน Hardware Wallet ซึ่งมีหลายแบรนด์ ที่เป็น Opensource ในระดับ Firmware และควร Generate Seed ใหม่ เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่มีร่องรอยอยู่บนอินเทอร์เน็ตเลย แล้วค่อยโอนสินทรัพย์มา
ยิ่งถ้าเป็นสาย DeFi ควรแยก Bitcoin เก็บในกระเป๋าที่เป็น Opensource ส่วนตัว หากบัญชี DeFi ที่ใช้งานไม่ได้เป็นพอร์ตหลักจะเก็บสินทรัพย์ไว้ที่ Ledger ก็ได้ เพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละคน ในแง่ของการเก็บระยะยาวอาจจะต้องมองเรื่องความปลอดภัยแบบสูงสุด (Maximum Security) ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการโอนย้าย ซึ่งระยะนี้ค่อนข้างสูง หลังจากที่ราคา Bitcoin มีการปรับตัวสูงขึ้น