xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มต้นลงทุนหุ้นดูอะไร ประกอบการตัดสินใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เริ่มต้นการลงทุนเราต้องดูอะไรกันบ้าง :

การลงทุนในหลักทรัพย์นั้น เบื้องต้นเราสามารถเลือกวิธีคิดได้ 2 แบบหลัก ๆ คือ

วิธี Top-Down

วิธีนี้เริ่มต้นเราจะพิจารณาจาก

1.1 เศรษฐกิจโลกว่ามีแนวโน้มอย่างไร โดยพิจารณาจาก GDP โลกและประเทศคู่ค้าของไทยด้วยว่าเป็นอย่างไรซึ่งหากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจคู่ค้าของไทยจะหดตัวอาจส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยด้วยเพราะไทยเป็นประเทศส่งออกหลักทั้งสินค้าเกษตร, สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม, ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งจะส่งผลต่อการนำเข้า-ส่งออกด้วย และต้องพิจารณาเศรษฐกิจไทยด้วยว่า จะเป็นเช่นใดซึ่งส่วนใหญ่จะล้อตามเศรษฐกิจโลก แต่จะต้องพิจารณาถึงนโยบายจากภาครัฐว่าจะเอื้อต่ออุตสาหกรรมใด, การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี เป็นต้น

1.2 อุตสาหกรรมใดจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกและไทย โดยการวิเคราะห์อุตสาหกรรมนั้น เราอาจนำ Five force Model มาร่วมพิจารณาด้วยว่า อุตสาหกรรมที่เราจะนำมาพิจารณานั้นอำนาจต่อรองของลูกค้าและ supplier เป็นอย่างไร, การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่, การแข่งขันในอุตสาหกรรม และสินค้าทดแทน ว่าบริษัท ของเรามีจุดอ่อนและจุดแข็งหากเทียบกับคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศไหม

1.3 เลือกบริษัทที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยข้างต้น

วิธี Bottom-Up

วิธีนี้จะใช้คัดเลือกบริษัทที่ควรลงทุนโดยจะวิเคราะห์จาก

2.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข

เช่น วิสัยทัศน์ผู้บริหาร, ตัวบริษัท และลักษณะผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

2.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ คือการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข

เช่นงบการเงินซึ่งประกอบด้วยงบดุล, งบกำไรขาดทุนและงบกระแสเงินสดของบริษัท และอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไรเช่น (รูปที่ 1)

2.2.1 อัตราส่วนสภาพคล่อง

เป็นการวัดสภาพคล่องการดำเนินกิจการ ถ้าค่าสูงดี เพราะแปลว่ามีสภาพคล่องเพียงพอ

2.2.2 ความสามารถในการดำเนินงาน

เป็นอัตราส่วนแสดงถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ประกอบด้วยการบริหารลูกหนี้, สินค้าคงคลังและเจ้าหนี้

2.2.3 ความสามารถในการทำกำไร

เป็นการวัดการทำกำไรของบริษัทยิ่งสูงยิ่งดีแสดงว่าแนวโน้มกำไรดีขึ้น

2.2.4 อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ เป็นอัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย

เราสามารถนำอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเดียวกันมาเปรียบเทียบกันเพื่อดูพิจารณาว่าบริษัทใดน่าสนใจกว่า แต่ไม่ควรเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม เพราะอัตราส่วนบางอุตสาหกรรมจะแตกต่างกันจากลักษณะการดำเนินงานที่ต่างกัน จากนั้นจึงมองไปที่ภาพรวมอุตสาหกรรม และภาพเศรษฐกิจของประเทศว่าเอื้อต่อการเติบโตของบริษัทด้วยหรือไม่

ทำอย่างไรต่อหลังจากนี้ :

หลังจากพิจารณาทั้ง 2 วิธีแล้วทำให้เราพอมีข้อมูลในการคัดเลือกอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ หลังจากนั้นจะมาหาหุ้นที่ได้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมนั้นๆจากสิ่งที่เราคัดสรรมาอีกที

ตัวอย่างการวิเคราะห์ด้วยวิธี Top-Down :

แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติลดลงคาดจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลง ซึ่งดีต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าจากต้นทุนการผลิตลดลง และอุตสาหกรรมที่เคยได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น GPSC, BGRIM เป็นต้น

ตัวอย่างการวิเคราะห์ด้วยวิธี Bottom-Up :

การดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มฟื้นตัว จากต้นทุนวัตถุดิบลดลง, ต้นทุนพลังงานลดลง และแนวโน้มราคาขายดีขึ้นจากอุปทานตึงตัวทำให้เห็นการดำเนินงานทยอยฟื้นตัว ซึ่งอาจต้องพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินหุ้นในอุตสาหกรรมเปรียบเทียบกันประกอบการตัดสินใจ หรืออาจเลือกบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น STA, NER เป็นต้น

การประเมินมูลค่า :

หลังจากได้หุ้นที่เราสนใจแล้ว เราจะมาประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสำหรับหุ้นนั้น ๆ

ซึ่งการจะเลือกประเมินมูลค่าวิธีใดนั้นจะพิจารณาจาก

1. ความสม่ำเสมอของกำไรที่มีความแน่นอนอย่างเช่นโรงไฟฟ้า, สื่อสาร, โรงพยาบาล, ธุรกิจที่เป็นสัมปทานจะใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) เนื่องจากมีกระแสเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ

2. รายได้และกำไรที่ผันผวนตามวัฏจักรธุรกิจอาจเลือกใช้วิธี P/E หรือ P/B อาจเหมาะสมกว่า

3. กระแสเงินสดที่เป็นเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคตจะประเมินด้วยวิธี DDM

4. มูลค่ากิจการเทียบกับกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคา หรือ EV/EBITDA ถ้าน้อยแปลว่าราคาหุ้นอยู่ในโซนถูก

5. Sum of the Part คือการประเมินมูลค่าธุรกิจแต่ละกิจการที่บริษัทถืออยู่และรวมมาเป็นราคาเหมาะสมของหุ้นแม่

อย่างไรก็ตาม การประเมินราคาหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น ไม่จำเป็นที่ต้องให้ P/E, P/BV ที่เท่ากันเนื่องจากโครงสร้างการดำเนินงาน, ความสามารถในการกำไรที่ต่างกัน, อัตราการเติบโตที่ต่างกัน, หนี้สินที่ต่างกัน จึงทำให้หุ้นแต่ละตัวจะมีระดับ P/E หรือ P/BV เหมาะสมที่แตกต่างกันตามความสามารถ (เก่งกว่า ดีกว่า ควรได้ premium)

นอกจากนั้นอาจต้องพิจารณาจากค่าเฉลี่ยการซื้อขายในอดีตประกอบด้วย แล้วจึงพิจารณาว่าเราควรจะใช้ค่า P/E หรือ P/BV อ้างอิงเท่าไหร่ในการประเมินมูลค่าเหมาะสมหุ้นดังกล่าว แล้วจึงนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับราคาในกระดานหุ้นเพื่อตัดสินใจ

ที่มา: บล.ลิเบอเรเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น