xs
xsm
sm
md
lg

SJWD เร่งปิดดีล M&A หวังดันรายได้โต เล็งตั้งกอง REIT ปีนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




“เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์” ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 23,979 ล้านบาท เพราะทุกธุรกิจสดใส อีกทั้งไม่มีรายจ่ายพิเศษจากการควบรวมกิจการ เผยเดินหน้าดีลพันธมิตร 5-6 ดีล คาดได้ข้อสรุปปี 68 เผยนำคลังสินค้า 4 แห่ง เข้าตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ขนาดไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ไตรมาส 2 นี้ เล็งนำ “แอลฟา อินดัลเทรียล โซลูชั่น ” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีหน้า


นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ปีนี้บริษัท งบลงทุนรวมในปีนี้กว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้เติบโต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 23,979 ล้านบาท แต่หากนำรายได้จากบริษัทที่ลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดมารวมกัน คาดว่าจะเติบโตระดับ 18-19 % และวางเป้าหมายระยะยาวที่เพื่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เป็น 100,000 บาทภายในปี 2570

ขณะที่ผลงานไตรมาสแรกปีนี้ผลการดำเนินงานยังเติบโตดีต่อเนื่องจาก เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการทำดีลควบรวมกิจการเพื่อเป็น “ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ ” เช่นปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนั้นประมาณ 200 ล้านบาท อีกทั้งปีนี้บริษัทจะรับรู้กำไรจากกการเข้าไปลงทุนช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ SJWD ยังมีดีลควบรวมกิจการหรือการลงทุนเติมต่อเนื่องตามแผน ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 5-6 ดีล และเป็นการลงทุนกับพันธมิตรในประเทศแถบเอเชีย ทั้งอินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ กัมพูชา ส่วน มาเลเซีย และเวียดนามนั้นแม้ว่ามีการลงทุนกับพันธมิตรอยู่แล้วแต่ยังต้องการลงทุนเพิ่มในอีกหลายส่วนที่สามารถเข้าไปได้ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนไม่เกินปี 2568 และจะเน้นลงทุนธุรกิจที่สามารถต่อยอดกับธุรกิจของบริษัทได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ และเป้าหมายจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

นอกจากนี้ SJWD ยังมีแผนนำคลังสินค้าทั้งหมด 4 แห่งคือพื้นที่รังสิต แหลมฉบัง บางนากม.22 และบางนากม.19 รวมพื้นที่รวม 200,000 ตารางเมตร ขายเป็นสินทรัพย์จัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่มีขนาดไม่เกิน 4,000 ล้านบาทภายในไตรมาส 2 นี้ อีกทั้งเดินหน้าและเตรียมนำ บริษัท แอลฟา อินดัลเทรียล โซลูชั่น จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2568

สำหรับ กลยุทธ์ที่ SJWD จะเดินตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น มี 3 ส่วน คือขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับภูมิภาค (Regional Connectivity & Expansion), เพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับธุรกิจ "คลังสินค้าห้องเย็น" และ "ออโตโมทีฟ" (Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative) และสร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ (New Business Opportunities)

โดยกลยุทธ์แรก Regional Connectivity & Expansion วางเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ในปี 70 โดยที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight) และเข้าลงทุนในบริษัทให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและจีน

ทั้งนี้ SJWD เข้าถือหุ้น 4.2% ใน บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) ซึ่งมีปริมาณขนส่งสินค้าทุกเส้นทางรวม 46,985 ตู้ในปี 2566 และมีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐเป็นอันดับ 1 ในไทยและอันดับ 6 ของโลก อีกทั้ง
เพิ่มถือหุ้นเป็น 20.12% ใน บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล (ANI) ซึ่งเป็นตัวแทนขายระวางสินค้าให้แก่สายการบินต่าง ๆ (GSA) กว่า 20 สายการบิน ครอบคลุม 8 ประเทศ คือ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, จีน และฮ่องกง มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% ในปี 2566 และมีแผนขยายเครือข่ายให้บริการในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ยุโรป, ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งคาดว่าปีนี้จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ANI ประมาณ 185 ล้านบาทและ เข้าซื้อหุ้น 20.44% ในบริษัท Swift Haulage Berhad (SWIFT) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นมาเลเซีย ที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งทางรถและเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถเทรลเลอร์ (รถหัวลาก) รายใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนในเส้นทางไทย
- มาเลเซีย - สิงคโปร์ คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน 55 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวมีรายได้รวมกันในปีที่ผ่านมามากกว่า 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ SJWD เล็งที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น 100% ในบริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จากบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ เพื่อรองรับการให้บริการเบ็ดเสร็จ
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวถึง กลยุทธ์ที่ 2 นั่นคือ "Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative" บริษัทจะใช้จุดแข็งของบริการคลังสินค้าห้องเย็นครบวงจรแบบ End-to-End และบริการโลจิสติกส์แก่ผลิตภัณฑ์ยาครอบคลุมทั่วประเทศในการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นที่เปิดบริการแล้ว 6 ทำเล ได้แก่ สมุทรสาคร, บางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 17, 19, 22, สุวินทวงศ์ และสระบุรี รองรับสินค้าได้ 135,000 ตัน มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 74% และวางแผนขยายคลังสินค้าห้องเย็นอีก 5 ทำเล รองรับสินค้าได้อีก 34,000 ตัน ได้แก่ (1) DC คลังสินค้าห้องเย็น ย่านรังสิต 2 หลัง รองรับสินค้าได้ 23,000 ตัน (2) สาขาเชียงใหม่ จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน และ (3) สาขาขอนแก่น จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน (4) คลังห้องเย็นสระบุรีเฟส 2 จัดเก็บสินค้าได้ 8,000 ตัน นอกจากนี้จะรวมเครือข่าย FUZE POST ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เพื่อตอบสนองดีมานด์ตลาด B2B2C

ขณะที่ธุรกิจ "ออโตโมทีฟ" (บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์) วางเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ในปีนี้ สอดคล้องกับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยม ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันรายใหญ่ในไทย ครองส่วนแบ่งตลาด 30-35% พื้นที่ให้บริการรวมกว่า 870,000 ตารางเมตร บริษัทจะนำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้จากการให้บริการแบบ End-to-End solution แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายรวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ มีแผนนำโมเดลธุรกิจออโตโมทีฟให้บริการในเวียดนาม

ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 "New Business Opportunities" จะโฟกัส 3 ธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ก่อสร้างตามความต้องการของผู้เช่า ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ซึ่ง SJWD ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนารวม 9 ทำเล คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร รวมถึงมีแผนนำคลังสินค้าจัดตั้งกอง REIT ในปีนี้

ขณะเดียวกัน จะขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเตรียมคลังสินค้าในย่านบางนา กม.22 พื้นที่กว่า 28,000 ตารางเมตรไว้รองรับ โดยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และยา และต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ด้านการให้บริการคลังสินค้าห้องเย็น คาดว่าจะสร้างรายได้แก่บริษัทฯ 70 ล้านบาทในปีนี้

นอกจากนี้ ได้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าภายใต้แบรนด์ "MeSpace Self Storage" 112 ล้านบาท เติบโต 53% จากปีก่อน โดยใช้ศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าอันดับหนึ่งที่มี 10 สาขาทั้งในกทม.และต่างจังหวัดพื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร โดยมี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งร่วมกันขยายธุรกิจ


กำลังโหลดความคิดเห็น