"เมืองไทย แคปปิตอล" เผยหุ้นกู้ 3 รุ่น อัตราดอกเบี้ย 4.30-4.95% ต่อปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท ขายหมดเกลี้ยงภายในวันแรกที่เปิดจอง เดินหน้าขยายธุรกิจ ลุยปล่อยสินเชื่อใหม่ ดันพอร์ตสินเชื่อปีนี้เติบโต 20% มุ่งสู่ไมโครไฟแนนซ์ระดับโลก
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยว่า หุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 3 รุ่น ที่เปิดขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.30% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 7 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.80% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 5 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.95% ต่อปี ในระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ขายหมดเกลี้ยง ถึงแม้บริษัทได้นำหุ้นกู้สำรองมาเสนอขายเพิ่มเติมแล้ว (Green Shoe) ก็ตามที สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อความยั่งยืนในการทำธุรกิจ
“บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ไว้วางใจลงทุนในหุ้นกู้ MTC ครั้งนี้ บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้รับไปชำระคืนหนี้จากการออกหุ้นกู้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อขยายกิจการของบริษัทที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โต 20% พร้อมคุม NPL ให้ลดลงต่ำกว่า 3.20% โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้” นายปริทัศน์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 บริษัทมีรายได้รวม 6,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวม 5,611 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,351 ล้านบาท ขณะที่ ณ สิ้นปี 2566 พอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 143,318 ล้านบาท เติบโต 18.8% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 120,613 ล้านบาท
ขณะที่รายได้รวมทั้งปี 2566 อยู่ที่ 24,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.2% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 20,068 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งปี 4,906 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานกว่า 30 ปี บริษัทมุ่งมั่นยกระดับการบริการสินเชื่อให้เป็นแหล่งเงินทุนที่มีคุณภาพในมาตรฐานระดับโลก (World Class Thai Microfinance) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสทางการเงินอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พัฒนาความเป็นอยู่ที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมให้เป็นสุข รวมถึงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน ตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (SDGs) ได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จนได้รับการรับรองผลการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 2566 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) และได้รับการจัดอันดับอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ที่ระดับ A ประจำปี 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน จากการประเมินทางมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งบริษัทยังได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2566 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors : IOD) ในระดับดีเลิศ (Excellent CG Scoring) หรือ 5 ดาว เป็นปีที่ 6 ติดต่อกันอีกด้วย และในปี 2566 บริษัทได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก DEG และ SMBC ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถสานต่อการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน