ดัชนีหุ้นไทยเดือนมีนาคมสดใส รับภาคการลงทุน หลังรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณออกมาใช้ตามแผน เป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อคาดลดลง ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสลดลง 0.50% ช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งมาตรการฟรีวีซ่าดึงนักท่องเที่ยว หนุนหุ้นกลุ่มโรงแรม ค้าปลีกและสายการบิน รวมทั้งก่อสร้างคึก ส่วน มาตรการ ตลท. ที่ทยอยออกมา เชื่อดูดเม็ดเงินFund Flowกลับคืนมา โบรกฯ คาดเหนือ 1,400 จุด
แม้จะเริ่มพบว่ามีสำนักวิจัยบางแห่ง หั่นเป้าตัวเลขจีดีพีของไทยลง แต่ยังมีความคาดหวังต่อการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการลงทุน หลัง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่มีโอกาสถูกประกาศใช้เร็วขึ้น รวมทั้งมาตรการของภาครัฐหนุนการท่องเที่ยวถือเป็นปัจจัยหลักที่จะหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มมีการปรับตัวที่ Active มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการจำกัดธุรกรรม Short Selling หรือ Program Trading รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ ล่าสุดคือการขยายหรือเพิ่มเวลาเทรดหุ้นอีก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่มองว่าจะหนุน Fund Flow กลับเข้ามาเป็นบวกมากขึ้น ส่งผลให้เชื่อว่าดัชนีหุ้นเดือนมีนาคมสดใส จนทำให้ดัชนีหุ้นขยับเหนือทะลุ 1,400 จุด เชื่อหุ้นค้าปลีก โรงแรม และก่อสร้างบางตัว รวมทั้งหุ้นสายการบิน ที่จะรับผลดีจากมาตรการภาครัฐ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ มีมุมมองว่า หลังแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ถูกหั่นลง และกำไร บจ.ในไตรมาส 4ปี 2566 ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) กำลังตั้งหลักใหม่ มีกรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,350-1,405 จุด ซึ่ง บล.ทิสโก้เริ่มเห็น 5 สัญญาณเชิงบวกที่น่า จะช่วยหนุน SET Index ฟื้นตัวจนสามารถทะลุออกจากกรอบด้านบนที่ 1,405 จุดได้
สำหรับ 5 ปัจจัยบวกหนุนหุ้นไทย คือ
(1.) อัตราดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มปรับลง เพราะแม้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ถูกหั่นลงมาที่ระดับประมาณ 3% แต่ยังเป็นอัตราเติบโตดีสุดในรอบ 5 ปี โดยการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 คาดว่าเกิดขึ้นได้ภายในเดือนพฤษภาคมจะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่คาดว่าจะลดลงทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสจะถูกปรับลดลง 0.50% ช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งการลดดอกเบี้ยลงทุก ๆ 0.25% จะช่วยเปิดโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ราว 45 จุด หรือ +3% สำหรับดัชนีหุ้นไทย
(2.) ตลาดเริ่มยอมรับว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลงได้ช้า โดยปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดจะเกิดขึ้นจากเดิมเดือนพฤษภาคมเป็นเดือนมิถุนายน และโอกาสการลดดอกเบี้ยในปีนี้ลดลงเหลือเพียง 3 ครั้ง เท่ากับ Dot Plot ของเฟด ในเดือนธันวาคมและช่วงต้นปีนี้ที่ตลาดคาดจะลดมากถึง 6 ครั้ง
(3.)ตลาดหุ้นจีนและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังตรุษจีน ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขานรับทางการจีนทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนถือเป็นความหวังเชิงบวกของตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะนอกจากเศรษฐกิจไทยจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนในระดับสูงแล้ว ภายหลังการระบาดของโควิด-19 หรือนับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนและไทยมีความสัมพันธ์เชิงบวกมากขึ้น ดังนั้น บล.ทิสโก้ แนะนำให้ติดตามการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ในวันที่ 5 มีนาคมนี้ เพื่อกำหนดเป้าหมายและทิศทางเศรษฐกิจในปี2567
(4.)การยกระดับการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Selling) และการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย (Program Trading) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่ง บล.ทิสโก้ มองมาตรการที่ออกมาใหม่ของตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดในระยะยาว และน่าจะกระตุ้นแรงซื้อคืนในตลาดในระยะสั้น เพราะเริ่มเห็นแรงขายของต่างชาติชะลอตัวสลับกับมีการซื้อคืน จนทำให้พลิกกลับมามียอดซื้อสุทธิสะสมเกือบ 3,000 ล้านบาทเป็นเดือนแรกในรอบ 1 ปี สอดคล้องกับกระแสเงินทุนไหลเข้าที่กระจายไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ในภูมิภาคมากขึ้นครบทั้ง 7 ตลาด (เกาหลีใต้, ไต้หวัน, อินเดีย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย) โดยไหลเข้าในเดือนกุมภาพันธ์ราว 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และเป็นการไหลเข้าเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
(5.) การปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แม้ว่าการประกาศงบไตรมาสที่ผ่านมาแม้ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาดแต่ด้วยกำไรไตรมาส 4/2566 ของหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวถูกล้างบางจากผลขาดทุนในรายการพิเศษจำนวนมาก ทำให้การปรับลดประมาณการ EPS ในปี 2567 นี้ และปี 2567 อาจผ่านจุดต่ำไปแล้ว เริ่มเห็นสัญญาณประมาณการ EPS ถูกปรับขึ้นมาอ่อน ๆ แล้วในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ "หุ้นบางตัวเห็นสัญญาณการปรับขึ้นประมาณการกำไรและเป้าหมายราคาหุ้น น่าจะมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีกว่าตลาด (Outperform)"
ดังนั้น บล.ทิสโก้ ยังชอบหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศและท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี ผสานกับหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยสรุป หุ้นเด่นที่ บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน มี.ค. คือ BDMS, CENTEL, CPALL, CRC, MINT, SCB, TTB และ TU ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนมี.ค.นี้ อยู่ที่ 1370-75, 1350 และ 1405, 1430-40 จุด ตาม ลำดับ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเดือน มี.ค. 2567 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ได้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในเดือนนี้จะมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1,370 จุด และแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,340 จุด ในทางกลับกัน ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,410 จุด และแนวต้านสำคัญ 1,440 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นไทยที่บริเวณดัชนี 1,370 จุดหรือต่ำกว่า
ทั้งนี้ มองปัจจัยหนุนอยู่หลายปัจจัยคือ การเริ่มต้นบังคับใช้มาตรการฟรีวีซ่าระหว่างไทย-จีน ซึ่งน่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ,ความคาดหวังต่อการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการลงทุน หลัง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่มีโอกาสถูกประกาศใช้เร็วขึ้น โดยทั้งเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกจากสภาล่างและสภาสูงอย่างต่อเนื่อง , ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนทั่วไปในประเทศ หลัง ตลท.เริ่มมีการปรับตัวที่ Active มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการจำกัดธุรกรรม Short Selling หรือ Program Trading รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ ,Fund Flow ที่น่าจะเริ่มกลับเข้ามาเป็นบวกมากขึ้น หลังผ่านพ้นการปรับตะกร้าของดัชนี MSCI ในช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งรอบนี้ตลาดหุ้นไทยถูกลดน้ำหนักลงเล็กน้อยในตะกร้า MSCI EM 5.Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่ลงมาอยู่ในโซนที่น่าสนใจแล้ว สะท้อนผ่าน Earning Yield Gap ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และ Relative PE ระหว่างหุ้นไทยกับหุ้น ASEAN ที่ลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยที่น่าจะสิ้นสุดลงชั่วคราว หลังผ่านพ้นเทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2566
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้คือกลุ่มที่เห็นโมเมนตัมของการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้อย่างแข็งแกร่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ และ Mobility ของผู้คนที่สูงขึ้น เช่น กลุ่มโรงแรมอย่าง MINT, CENTEL, ERW , กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, CPAXT, BJC ,กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, BCH, PR9 และกลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE
นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า เปิดเผยว่า SET Index เดือน มี.ค.นี้ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว หรือ sideway แต่เริ่มมีจำกัดแล้ว สะท้อนจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ส่วนใหญ่ประกาศงบการเงินออกมาเกือบหมด เช่นเดียวกับตัวเลข GDP ปี 2566 ที่ตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งตลาดรับรู้ข่าวร้ายไปแล้ว และโอกาสที่ดัชนีจะหลุดระดับ 1,400 จุด และไหลลงไปยาวๆ เกิดขึ้นได้ยากแล้ว เพราะตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีมูลค่า (Valuation) ที่ถูกมาก สะท้อนจากการเทรด P/E ที่ -1SD
อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของ SET Index ในเดือน มี.ค.นี้ยังต้องพึ่งพาเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่ามีโอกาสที่จะเห็นแรงซื้อเพิ่มเข้ามาเพื่อรับเงินปันผล โดยมองกรอบ SET Index เดือน มี.ค.ไว้ที่บริเวณ 1,380-1,440 และ 1,460 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือน มี.ค.นี้ แนะนำทยอยสะสมหุ้นที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเเข็งแกร่งตั้งแต่ไตรมาส 1/67 เป็นต้นไป โดยเฉพาะหุ้น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย ค้าปลีก แนะนำ CPALL และ CPAXT และกลุ่มเครื่องดื่ม ที่คาดผลการดำเนินงานจะเเข็งแกร่งจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน แนะนำ ICHI และ SAPPE
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า กรอบดัชนีเดือน มี.ค.นี้ คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,380-1,440 และ 1,450 จุด โดยติดตาม 2 เหตุการณ์สำคัญที่คาดจะส่งผลมาถึง Sentiment ของตลาดหุ้นไทย คือ ความคืบหน้าของงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ที่มีแนวโน้มเร็วขึ้นมาอยู่ในช่วงปลายเดือน มี.ค. (เดิม เม.ย.) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนดัชนีให้ปรับตัวขึ้นได้ และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในช่วงกลางเดือน มี.ค.นี้ ว่า จะมีทิศทางอย่างไรกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดว่า Fed ยังจะคงดอกเบี้ยต่อไป แต่หากมีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น SET Index เริ่มมีดาวน์ไซด์จำกัดแล้ว จึงเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะทยอยสะสมหุ้นในลักษณะผลประกอบการไตรมาส 4/66 หรืองบปี 66 เติบโตดีและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 ยังคงให้น้ำหนักกลุ่ม Domestic pay เป็นหลัก แนะนำ CPALL, BEM, CK และ THCOM เป็นต้น
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) แนะนำเดือน มี.ค.นี้ให้เน้นลงทุนธีมเศรษฐกิจโลก อย่างหุ้นท่องเที่ยว และการเร่งรัดงบประมาณ ได้แก่ PTTGC, SPRC, AAV, AOT, CPALL, CK และ STEC มองว่าหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในช่วง 1 เดือนข้างหน้า คือหุ้น Global Cyclical ที่โยงอยู่กับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นทางการเงินของจีนเลือก PTTGC และ SPRC ส่วนหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง YTD โดยเฉพาะจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เลือก AAV, AOT, CPALL หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะได้อานิสงส์จากความคืบหน้าในกระบวนการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ในเดือนนี้ เลือก CK, STEC
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินตลาดหุ้นไทยเดือน มี.ค. เชื่อว่า SET Index จะสงบมากขึ้น และเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350-1,430 จุด จาก 2 ปัจจัยหลักคือเดือน มี.ค. ไม่ได้มีปัจจัยใหญ่ ๆ กดดันตลาดหลัก และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) วันที่ 22 มี.ค. นี้ ตลาดคาดว่ายังคงดอกเบี้ยที่ 5.5% และมีน้ำหนักเกินครึ่งที่อาจปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. รวมถึงยังมีควันหลงการปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียนลงอีกเล็กน้อย
นอกจากนี้ หลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯเรียกความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ด้วยการออกแนวทางแก้ไขปัญหาการ Short Selling และ Program Trading รวมถึงเพิ่มชั่วโมงซื้อขายจาก 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวันเป็น 5 ชั่วโมงต่อวัน คาดจะช่วยหนุนให้มูลค่าซื้อขายค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จน Turnover กลับมาเหนือ 70% ต่อปีรวมถึง Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยในระยะต่อไป รวมทั้งการที่ ครม.เร่งเบิกจ่ายงบประมาณเร็วขึ้น 2 สัปดาห์ และคาดมีผลบังคับใช้ช่วงต้นไตรมาส 2 จะหนุนให้ GDP ไตรมาส 2 สดใสอีกครั้ง ซึ่งความชัดเจนของการอุปโภคภาครัฐ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นการลงทุนเน้นหุ้นอิงกลุ่มอุปโภคบริโภค, ก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง จึงคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมา Outperform อีกครั้งหลังจากนี้
สำหรับการลงทุนแนะนำหุ้น 3 ธีม คือหุ้นรับมาตรการภาครัฐ เริ่มขยายมาตรการฟรีวีซ่าจีนถาวรและคาซัคสถาน ดีต่อ AOT, BDMS, CPN เร่งระยะเวลาเบิกจ่ายงบประมาณ 2567 แนะ SCCC และหุ้นเตรียมรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง หุ้นปันผล SPALI, MTC รวมทั้งหุ้นคาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้นอย่าง PTTGC