แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น ปลื้ม! กระแสตอบรับโรดโชว์รูปแบบไฮบริดบนแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์คึก โชว์ศักยภาพธุรกิจ Bio Technology บริษัทแรกของไทยเข้าจดทะเบียนใน SET คาดเคาะราคาและเข้าเทรดเดือนมีนาคมนี้
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บมจ.แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น (BKGI) เปิดเผยว่า วันนี้ทีมผู้บริหาร BKGI และที่ปรึกษาทางการเงินได้ร่วมกันนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) รูปแบบไฮบริดบนแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ให้นักลงทุนได้เข้าใจถึงภาพรวมธุรกิจ และแผนการดำเนินงานในอนาคต รวมทั้งให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโต ภายหลังจากการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยคาดว่าจะกำหนดราคาขายและเข้าเทรดได้ภายในเดือนมีนาคม 67 นี้
"BKGI ถือเป็นธุรกิจ Bio Technology บริษัทแรกของไทย เป็นธุรกิจ New S-Curve สอดคล้องเมกะเทรนด์โลก ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลและรักษาสุขภาพ เพื่อป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งการให้บริการของบริษัทครอบคลุมทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เกิดจนถึงสูงวัย ทำให้เห็นโอกาสเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในอนาคต"
นอกจากนี้ BKGI ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ กลุ่ม BGI หนึ่งในผู้นำการถอดรหัสพันธุกรรมของโลกที่พร้อมสนับสนุนธุรกิจ และขยายความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกันทั้งในส่วนของเทคโนโลยีและงานวิจัย
ทั้งนี้ BKGI มีแผนจะระดมทุนโดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.67% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด
น ส เสาวลักษณ์ ด่านสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKGI กล่าวว่า บริษัทประกอบกิจการห้องปฏิบัติการ และให้บริการการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ การที่มีกลุ่ม BGI หนึ่งในผู้นำการถอดรหัสพันธุกรรมของโลกถือหุ้นใหญ่ ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจาก BGI มีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัย ถูกต้องและแม่นยำ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
นายเสี่ยวฮาน หวาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKGI กล่าวว่า กลุ่ม BGI พร้อมให้การสนับสนุนแก่ BKGI ในฐานะที่เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มของ BGI อย่างเต็มที่ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีด้านการถอดรหัสพันธุกรรมและงานวิจัย อีกทั้งยังมีแผนใช้ไทยเป็น Hub เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยมีนโยบาย Medical Hub ซึ่งกลุ่มบริษัทมองว่าเป็นโอกาสการขยายธุรกิจได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้ถือหุ้นของ BKGI ที่เป็นคนไทย พร้อมทำงานร่วมกัน เพื่อผลักดันการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ BGI Shenzhen (กลุ่ม BGI) ก่อตั้งขึ้นในปี 2551 โดยมีผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ Mr.Wang Jian ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ โดย BGI Shenzhen ตั้งอยู่ในเมืองเสิ่นเจิ้นของจีน มีพนักงานมากกว่า 10,000 คน กระจายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มีงานวิจัยตีพิมพ์มากกว่า 3,800 ฉบับ ได้รับสิทธิบัตรมากกว่า 1,700 ฉบับ และให้ความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพันธมิตรอื่นๆ มากกว่า 2,000 แห่งทั่วโลก โดยมี BGI Genomics เป็นหนึ่งในบริษัทของกลุ่ม BGI ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BKGI ผ่านการถือหุ้นโดย BGI Health (HK) ซึ่ง BGI Genomics ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น ในปี 2565
อนึ่ง BKGI มีลักษณะการประกอบธุรกิจแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ธุรกิจการให้บริการตรวจคัดกรองและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) การตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ 2) การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และการตรวจภูมิคุ้มกัน 3) การตรวจคัดกรองอื่นๆ ได้แก่ การตรวจคัดกรองกลุ่มยีนที่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง และการตรวจคัดกรองโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอื่นๆ และ 4) การให้บริการงานด้านเทคโนโลยี
2.ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่นๆ (Other Products) เช่น ชุดอุปกรณ์สำหรับการเก็บสิ่งส่งตรวจ น้ำยาตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 และน้ำยาตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 และชุดอุปกรณ์สำหรับตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมแบบครบวงจร เป็นต้น รวมทั้งในอนาคตจะมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้ลูกค้าที่ใช้บริการถอดรหัสทางพันธุกรรมเฉพาะบุคคลอย่างละเอียดตามคำแนะนำของแพทย์