xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) MGI หุ้นที่ไม่เคยหยุด! หวัง ตลท.งัดไม้เด็ดเอาผิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถอดกรณีหุ้นนางงาม “มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล” กับราคาหุ้นที่พุ่งไม่หยุด ภาพรวมหลายฝ่ายเชื่อขึ้นแบบไม่ธรรมดา หวังตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ไม้แข็ง เปิดหลักฐานเด็ดเอาผิด เพื่อกำราบผู้กระทำผิด หลังนักลงทุนมองปัจจัยพื้นฐานออกตัวขอหลีกเลี่ยง

วันที่ 14 ธ.ค. 2566 หุ้น บมจ.มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MGI) เข้าซื้อขายบนกระดานหุ้นครั้งแรกด้วยราคา IPO ที่ระดับ 4.95 บาท/หุ้น และปิดที่ระดับ 6.25 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 1.30 บาท หรือ 26.26% จากนั้นความร้อนแรงของหุ้นนางงามมิสแกรนด์ไม่มีหยุดหย่อน มีแต่ไต่ระดับเพิ่มอย่างขึ้นต่อเนื่อง จนสร้างความหวาดผวาแก่นักลงทุน แต่กลับกันสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างแรงดึงดูดกับเหล่าแมงเม่าจำนวนมากที่มีโอกาสช้อนหักจากเกมสร้างราคาหุ้นในครั้งนี้

นั่นเพราะล่าสุด (1 มี.ค.67) ราคาหุ้น MGI ปิดตลาดที่ระดับ 48.50บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า (29ก.พ.67) ที่ระดับ 3.00 บาท/หุ้น หรือ 6.59% มูลค่าซื้อขาย 763.01 ล้านบาท หลังจากร่วงลงหนักในวันก่อนหน้าแต่หากคิดเป็นระยะเวลา 2 เดือนครึ่งนับตั้งแต่วันที่หุ้นของบริษัทเข้าซื้อขายบนกระดานเทรด พบว่าหุ้น MGI ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว 879.79% ทั้งๆที่เป็นหุ้นที่ถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ประกาศขึ้นเครื่องหมาย "P" หรือ หยุดพักการซื้อขาย 1 วันทำการ เป็นครั้งที่ 3 ในรอบไม่ถึง 3 เดือน

หาเหตุและผลหุ้น MGI ร้อนแรง

สิ่งเป็นคำถามในใจนักลงทุน นั่นคือ "ทำไมราคาหุ้น MGI ถึงพุ่งแรงจนกู่ไม่กลับลงมาง่ายๆ?" ทั้งที่ภาพรวมธุรกิจของบริษัทไม่ได้โดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่าธุรกิจขายสินค้า และธุรกิจประกวดนางงามของบริษัทอื่นๆ นั้นคืออะไร ไส้ในของธุรกิจนั้นเป็นอะไร ทำไมคนที่เข้ามาซื้อหุ้นถือเชื่อว่าธุรกิจนั้นเปล่งปลั่ง ทั้งที่ความจริงเมื่อดูจากสายตาคนทั่วไปก็น่าจะมองออก 

ขณะเดียวกันแม้ผู้บริหาร MGI จะมีมุมมองที่แตกแยกไปจากผู้ควบคุมกฏเกณฑ์อย่าง ตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่โอกาสหรือความเป็นไปได้ของราคาหุ้นก็ไม่น่าจะขยับขึ้นมาถึงราคาในปัจจุบัน ที่ระดับ 48.50บาท/หุ้น บน P/E ที่ระดับ 80.12 เท่า นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายที่มองลบเชื่อว่าแรงคาดหวังของผู้ถือหุ้นต่อ MGI ในช่วงเวลานี้ น่าจะมีมากอยู่ หรือมากกว่าความเป็นจริง

และเมื่อประมวลจากสาเหตุเหล่านี้ ทำให้หลายฝ่ายประเมินศักยภาพของ MGI ว่าราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันไม่ใช่ของที่จริงแท้ที่แน่นอน ดังนั้นจึงนำไปสู่ความเชื่อที่ว่า “เมื่อมีเกิด ก็ย่อมมีวันดับ” อย่างหนีไม่พ้น เพียงแต่จะวันไหน เวลาไหน และผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจะออกมาขอโทษนักลงทุน เหมือนที่ออกมาตีโพยตีพาย ณ เวลานี้หรือไม่?

ราคาแรง ใช่จะขายได้ง่าย

ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ราคาหุ้น MGI พุ่งทะลัก นอกจากนักลงทุนทั่วไปที่หวังจะมีโอกาสทำกำไรจากราคาหุ้น ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมามีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่พร้อมจะเทกระจาดขายหุ้น MGI ออกไป เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง ราคาหุ้นที่แพงระยับก็ยากที่จะหาคนเข้ามารับไม้ต่อเช่นกัน

โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารของบริษัทอย่าง  “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MGI ออกมาปะฉะดะออนไลน์กับผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงผู้บริหารบริษัทของโบรกเกอร์คู่กรณี ยิ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าราคาหุ้นเช่นนี้ ไม่น่าจะสามารถยืนระยะยาวได้ยาว  นั่นเพราะด้วยราคา P/E ที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ น่าจะมีผู้สนใจเข้ามาโอบอุ้ม MGI น้อยลง ทีนี้เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างกดดันให้ราคาหุ้นตกลงมา คำถามก็เกิดขึ้นว่าแล้วคนที่ช้อนซื้อหุ้นในราคาที่สูง จะแบกรับโอกาสในการขาดทุนได้มากน้อยเท่าใด

รายใหญ่ไม่กล้ารับไม้ต่อ

ขณะเดียวกัน ปัจจุบันเริ่มมีการเผยแพร่ข้อมูลความคิดเห็นของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงต่อหุ้น MGI ว่า ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันมีความร้อนแรงมาก ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าลงทุน ยิ่งทำให้หลายรายตัดสินใจเลือกที่จะไม่ขอเข้ายุ่งเกี่ยวกับหุ้นดังกล่าว ดังนั้นนั่นย่อมทำให้โอกาสในการถอนคืนกำไรของรายย่อยที่ถือหุ้นอยู่ก่อนแล้วลดลง

สิ่งเหล่านี้ยิ่งสะท้อนได้ชัดเจนว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังการพุ่งขึ้นไม่หยุดของราคาหุ้น เพราะราคาหุ้น MGI ขยับขึ้นสูงมาก แต่กลับไม่มีบทวิเคราะห์หรือความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ค่ายไหนออกมาประเมินธุรกิจของบริษัทในเชิงสนับสนุนเลย เรื่องแบบนี้จะอ้างว่าเพราะอยู่แค่ตลาดเล็ก mai ไม่ได้ เพราะถ้าของดีจริงบทวิเคราะห์ทางธุรกิจดี ๆ ก็มีให้เห็นไม่เคยขาด 

นั่นทำให้นำไปสู่คำถามว่า “เวลานี้ทุนทรัพย์ที่ทำให้หุ้นตัวนี้สามารถถูกรับซื้อได้ในทุกราคา จะเสื่อมลงไปมากน้อยเพียงใด”

ใครอยู่เบื้องหลัง??

และหากพิจารณาในแง่ของ Demand และ Supply ย่อมหลีกไม่พ้นที่ว่า ความต้องการหุ้น MGI ในตลาดยังมีอยู่ มิเช่นนั้นราคาหุ้นคงไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น แต่ในทางกลับกันการปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นของราคาหุ้นก็นำไปสู่คำถามของใครต่อใครหลายคนชวนคิดว่า ราคาที่ถีบตัว นั้นมาจาก Demand ของนักลงทุนทุกคนหรือกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มอย่างมีเงื่อนงำ หรือตามภาษาชาวบ้านว่าวกันซื่อๆว่า “ปั่นราคา” โดยพร้อมรับหุ้นในทุกราคามาไว้ในอ้อมกอด และจากนั้นก็รอแค่จังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อทำกำไรจากเม็ดเงินที่หว่านลงไปหรือไม่?

วิธีจัดการของ ตลท.

ส่วนกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MGI ไม่พอใจต่อการกระทำของตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้ามองในแง่ของความจริงใจและถูกต้องตามขั้นตอนไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ตลาดหุ้นควรสอบถามบริษัทจดทะเบียนโดยตรงถึงเหตุและผลต่อสาเหตุที่ราคาหุ้นพุ่งทะยานแบบกู่ไม่กลับเช่นนี้

แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่อยู่กับตลาดหุ้นมานานจะรู้กันดีว่า คำตอบของบริษัทจดทะเบียนบางทีก็ไม่ได้อะไรกลับมามากเช่นกัน เห็นได้จากหลายตัวอย่างที่ผ่านมา เมื่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ และ ตลาดหลักทรัพย์ฯใช้วิธีสอบถามไปยังบริษัทดังกล่าวแล้วผลลัพธ์ที่ได้มาหนีไม่พ้น “ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ทราบสาเหตุของราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้เหมือนกัน”

ทำให้จากนั้นก็แค่นับวันรอเวลาที่ระเบิดลูกดังกล่าวจะทำงาน โดยเมื่อระเบิดเกิดการทำงาน สิ่งที่ตามมา หนีไม่พ้น การรวมตัวร้องเรียนขอความเป็นธรรม หรือเร่งให้ผู้ควบคุมกลไกตลาดออกมาจัดการหาผู้รับผิดชอบ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยหมดไปจากวงการกระดานหลักทรัพย์ไทยมาแต่ช้านาน

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน หลายฝ่ายเชื่อว่า ไม่ใช่การกลั่นแกล้งของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อ MGI แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นเข้าหลักเกณฑ์ที่ส่งสัญญาณถึงความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นและสร้างผลกระทบให้หลายภาคส่วนในอนาคต ทำให้จำเป็นที่ผู้ควบคุมต้องตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อป้องกันการลุกลามบานปลายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ส่วนที่ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MGI ออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านโซเชียลออนไลน์ ถือว่าไม่ใช่ผลดีต่อหุ้นของบริษัทในอนาคต เพราะที่ผ่านมานับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เปิดให้ทำการซื้อขาย ไม่เคยเจอเคสไหนที่ออกมากล่าวโทษผู้ดูแลระบบเช่นครั้งนี้ และต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาในการปฏิบัติต่อบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯวางตัวเป็นกลางมาตลอด แม้หุ้นตัวนั้นจะมีปัญหาหรือมีเสียงเรียกร้องให้เข้าไปจัดการจากนักลงทุนรายย่อยที่ได้รับผลกระทบมากเพียงใดก็ตาม

โดยในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ MGI นั้น ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯออกมาระบุว่าไม่สามารถดำเนินการชี้แจงในปัจจุบันได้ แสดงว่ามีข้อมูลในระดับหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่ต้องการเปิดเผย ณ เวลานี้




มาตรการที่มีเพียงพอหรือไม่?

ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มีคำถามว่า มาตรการกำกับการซื้อขายที่มีอยู่ จะแก้ปัญหาหุ้นที่ผิดปกติให้หมดไปได้หรือ เพราะแม้แต่หุ้น MGI ก็อาจสงบลงเพียงชั่วครู่ ก่อนจุดพลุเก็งกำไร ล่อแมลงเม่าให้บินเข้ากองไฟรอบใหม่ได้เช่นกัน

นั่นเพราะมาตรการกำกับการซื้อขายหุ้นปัจจุบัน ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า ไม่อาจดับความร้อนแรงหุ้นหลายตัวได้ โดย MGI เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะแม้ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายหลายครั้ง แต่ราคาหุ้นยังพุ่งทะยานอยู่ 

ขณะผู้ที่อยู่เบื้องหลังความผิดปกติของหุ้นแต่ละตัว ไม่ได้เกรงกลัวมาตรการกำกับการซื้อขายแม้แต่น้อย และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ก็ถูกมองว่าเป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น

แม้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมเพิ่มความเข้มข้นในมาตรการควบคุมหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นผิดปกติ โดยกำหนดให้ซื้อขายได้เพียงวันละ 3 ครั้ง โดยทำรายการจับคู่การซื้อขายในช่วงเปิดตลาดภาคเช้า ช่วงที่ 2 เปิดการซื้อขายภาคบ่าย และช่วงที่ 3 ก่อนปิดการซื้อขายในแต่ละวัน

แต่มองไม่เห็นว่า มาตรการจะสยบหุ้นร้อนได้อย่างไร นอกจากนั้นยังเป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้ลงลึกไปที่ต้นเหตุ หรือความผิดปกติของการซื้อขาย

ดังนั้น ถ้ามาตรการกำกับการซื้อขายมีประสิทธิภาพจริง ทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้มาตรการ การซื้อขายหุ้นที่ไม่ปกติจะถูกยับยั้งหรือยุติโดยทันที แต่ปัจจุบันมาตรการกำกับการซื้อขาย กลับไม่สามารถปราบพยศหุ้นร้อนได้ โดยหุ้นหลายสิบตัว และหุ้นตัวล่าสุดที่เป็นตัวประจานความล้มเหลวของมาตรการคือ หุ้น MGI

การประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายแค่ละครั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุชัดว่า การซื้อขายหุ้นมีความผิดปกติ โดยปริมาณการซื้อขายหรือราคาหุ้นเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามภาวะตลาด แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เคยชี้แจงว่า ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติ เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นในจุดไหน และมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ 


ทั้งที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องตรวจสอบโดยทันที กรณีที่หุ้นบางตัวเคลื่อนไหวผิดปกติ และสั่งให้โบรกเกอร์รายงานข้อมูลการซื้อขาย และตรวจสอบคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนแต่ละรายว่า มีพฤติกรรมเข้าข่ายสร้างราคาหรือไม่

เรื่องเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่าฯ ไม่รู้ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหุ้นที่มีความผิดปกติหรือไม่ หรือตรวจสอบแล้วไม่พบคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ ซึ่งหมายว่า หุ้นที่ถูกมาตรการกำกับการซื้อขาย ไม่มีความผิดปกติอะไร

แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว เป็นไปไม่ได้ เพราะหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง โดยไม่มีปัจจัยสนับสนุน ต้องมีกลุ่มคนอยู่เบื้องหลัง

ที่ผ่านมาหุ้นร้อนทุกตัว มักมีเจ้ามือหรือขาใหญ่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น และนักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน ติดตามความเคลื่อนไหวหุ้นแต่ละตัวอย่างใกล้ชิด จะรู้ว่า หุ้นตัวไหนมีเจ้ามือ รู้ด้วยซ้ำว่า เสี่ยหุ้นหรือขาใหญ่หุ้นคนใด อยู่เบื้องหลังลากหุ้นตัวไหน

ขณะที่นักลงทุนนับแสนๆ ต้องเสียหายย่อยยับมาแล้วจากหุ้นร้อนและหุ้นปั่น โดยความสูญเสียของนักลงทุนจะดำเนินต่อไปตราบใดที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังจมปลักกับมาตรการป้องกันและปราบปรามการปั่นหุ้นที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีความเฉียบขาด

ดังนั้น ถ้าตลาดหลักทรัพย์ ฯ สามารถลากคอ คนที่อยู่เบื้องหลังการซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ เป็นคดีตัวอย่างเพียงคดีเดียว ปัญหาการลากราคาหุ้นให้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงผิดปกติคงลดลงทันตาเห็น แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่เคยจับตัวผู้อยู่เบื้องหลังการซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติมาลงโทษได้แม้แต่คนเดียว

และจากสถิติที่ผ่านมานั่นยิ่งทำให้กรณีของ MGI มีความเป็นไปได้สูงที่เรื่องดังกล่าวจะจบลงแบบงง ๆ และกลายเป็นปัญหาคาใจนักลงทุนไปอีกนานแสนนาน ว่าใครกันคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการผลักดันราคาหุ้นให้ทะยานขึ้นอย่างสุดโต่ง และมีใครบ้างที่ร่วมทำงานกันทีมเพื่อดันราคาหุ้นนางงามให้เฉิดฉายได้ขนาดนี้

ขณะเดียวกันตอนนี้ ก็เริ่มมีบางคนออกมาคาดหวังว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเอาจริงกับการกำราบเด็กดื้อที่ออกมาโวยวาย ผ่านวิธีการดึงฝูงชนเข้ามากดดันการทำงานขององค์กร เพื่อไม่ให้เกิดเคสแบบนี้ขึ้นอีกครั้งในอนาคต เพราะมันยิ่งทำให้ความศรัทธาที่เคยมีมาเสื่อมถอยลงไปมากยิ่งขึ้น หรือสุดท้ายเมื่อโทษฟ้าโทษฝนไม่ได้ ก็มาโยนบาปให้ Naked Short Selling


กำลังโหลดความคิดเห็น