สตาร์ มันนี้ เปิดงบปี 66 รายได้รวมแตะ 1.37 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 61.75 ล้านบาท บอร์ดสั่งจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดรับเงิน 27 พฤษภาคม 2567 ด้านบิ๊กบอส “ชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม” ประกาศแผนธุรกิจปีนี้มุ่งใช้ไอทีควบคุมคุณภาพหนี้ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อใหม่และรายได้รวมเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2566 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2566) บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 1,379.85 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 61.75 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 773.88 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ จำนวน 84.56 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม จำนวน 455.35 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ จำนวน 16.75 ล้านบาท และรายได้อื่น จำนวน 49.30 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท รวมเป็นเงิน 33,000,000 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2567 บริษัทจะเน้นกลยุทธ์นำระบบเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายธุรกิจ ให้สามารถรองรับการให้บริการลูกค้าได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการด้านการขายและการให้สินเชื่อ โดยจะนำ Data Analytic มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาระบบให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการและคุณสมบัติของลูกค้า รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ ทั้งข้อมูลด้านอาชีพ รายได้ ที่อยู่อาศัย เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพหนี้ รวมถึงยังช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วให้ลูกค้า โดยตั้งเป้าหมายในการช่วยลดระยะเวลาในการให้บริการลง 40% จากปัจจุบัน
โดยบริษัทตั้งเป้าการขายสินค้าและสินเชื่อใหม่ในปีนี้เติบโตรวมไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ช่วยให้พอร์ตสินเชื่อเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) ของบริษัท จากสิ้นปีก่อน 2,500 ล้านบาท และส่งผลให้รายได้รวมเติบโต All Time High เช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ในปีนี้ SM ยังได้รับประโยชน์จากการมีสาขาเกือบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เขต EEC ที่กำลังเติบโตตามอุตสาหกรรมและการลงทุน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีผู้ประกอบการระดับโลกมาลงทุนสร้างฐานการผลิต ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก และจะสนับสนุนให้ธุรกิจของ SM มีโอกาสเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ
“ปีนี้บริษัทนำระบบไอทีมาใช้ควบคุมคุณภาพหนี้ จะปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อจากการขายสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะหมวดสินค้าโทรศัพท์มือถือ และมีแผนการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับหมวดสินค้าประเภทอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพในการชำระหนี้ของสินเชื่อเช่าซื้อให้ดีมากยิ่งขึ้น รวมถึงวางแผนเพิ่มรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่จะเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจการให้สินเชื่อ ตลอดจนการเดินหน้าเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มมากขึ้นจากจำนวน 60,000 รายที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมเป้าหมายควบคุมคุณภาพหนี้ บริหารจัดการ NPL ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3.6%” นายชูศักดิ์ กล่าวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธุรกิจหลักของ SM ได้แก่ 1.จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รถจักรยานยนต์ และ 2.ธุรกิจให้บริการปล่อยสินเชื่อแบบมีหลักประกัน และสินเชื่อบุคคล โดยหลักประกันเงินให้กู้ยืม เช่น เล่มทะเบียนรถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และให้บริการอื่นเพิ่มเติม เช่น การเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย หรือประกันชีวิต เป็นต้น