xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ระดับ 35.89 แกว่งตัว sideways down-มีจังหวะผันผวนอ่อนค่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (28 ก.พ.) ที่ระดับ 35.89 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.84 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.75-36.00 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย (แกว่งตัวในช่วง 35.80-35.90 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย จนทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ 3 ครั้ง ตามที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ทั้งนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ต่างออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด อนึ่ง การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีส่วนกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับอีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างเข้าซื้อทองคำในจังหวะดังกล่าวบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวมีส่วนกดดันเงินบาท

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวลักษณะ sideways down หลังปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ทยอยแผ่วลง อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าได้บ้างในช่วงระหว่างวัน จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน หรือแม้กระทั่งโฟลว์ซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาทพอสมควรในช่วงนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มอาศัยจังหวะการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาทในการทยอยขายทำกำไรทั้งหุ้นและบอนด์ กดดันให้เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ง่ายนัก หากยังไม่มีปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจน

เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจมีโซนแนวรับแถว 35.80 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจนและแข็งค่าหลุดแนวรับดังกล่าว อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวในระยะสั้นยังมีไม่มากนัก และอาจต้องรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ รวมถึงรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ที่ต้องออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน จนทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 3 ครั้ง ที่ระบุไว้ใน Dot Plot ขณะที่โซนแนวต้านยังคงเป็นช่วง 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เป็นแนวต้านเชิงจิตวิทยาในช่วงนี้

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เช่น คาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2023 ครั้งที่ 2 รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยูโรโซน

ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม หลังในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นร้อนแรง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE พร้อมจับตาสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.17%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.18% หนุนโดยความหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีโอกาสเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้น เช่น ASML +1.1% นอกจากนี้ ความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังได้ช่วยให้บรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม ยานยนต์และเหมืองแร่ ต่างปรับตัวขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะ Novo Nordisk -1.2% หลังบริษัทยาในสหรัฐฯ ได้รายงานผลการทดลองยาที่สามารถลดน้ำหนักได้ดีและอาจเป็นคู่แข่งสำคัญของยาจาก Novo Nordisk

ในฝั่งตลาดบอนด์ ท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย กอปรกับบรรยากาศโดยรวมในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ได้หนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.30% อีกครั้ง แต่บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด เริ่มออกมาแย่กว่าคาด ทั้งนี้ เราประเมินว่า การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นอาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังมุมมองของผู้เล่นในตลาดนั้นเหมือนกับสิ่งที่เฟดประเมินไว้ใน Dot Plot ทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.50% ได้นั้น อาจต้องอาศัยมุมมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 3 ครั้ง หรือ ไม่ลดดอกเบี้ยลงเลย ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวมีน้อยมากในปัจจุบัน ดังนั้น Risk-Reward ของการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวยังคุ้มค่าอยู่ ทำให้เราคงมองว่านักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้างตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่โดยรวมเงินดอลลาร์กฝยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้และเผชิญการลดสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดเพิ่มเติม จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 103.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.6-103.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ย่อตัวลงสู่โซน 2,030-2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งในช่วงโซนราคาดังกล่าวผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำอยู่บ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น