หุ้นไทยปิดตลาด +12.54 จุด นักวิเคราะห์เผยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นร้อนแรงในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นเอเซีย เช่น ฮ่องกง และจีน รับข่าวแบงก์ชาติจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) โดยหุ้นไทยมีแรงซื้อจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์และไฟแนนซ์ โดย SCB ที่ปรับตัวบวกนำกลุ่มหลังจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งจากการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลสูงทั้งกลุ่ม ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้แนวรับที่ 1,385 จุด และแนวต้านที่ 1,403 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายภาคเช้าวันที่ 21 ก.พ. 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +12.54 จุด หรือ +0.91% โดยปิดตลาดที่ 1,393.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 64,865.89 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นในวันนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,395.11 จุด ในทิศทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,379.02 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 294 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 177 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 184 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิกว่า +6,312.47 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +262.87 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -5,735.10 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -840.24 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.SCB มูลค่าการซื้อขาย 6,352.30 ล้านบาท ปิดที่ 111.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท
2.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,532.71 ล้านบาท ปิดที่ 205.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
3.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,425.27 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
4.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,032.82 ล้านบาท ปิดที่ 57.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
5.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,697.54 ล้านบาท ปิดที่ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.SCB ปิดที่ 111.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท หรือ 6.73%
2.SCC ปิดที่ 268.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00บาท หรือ 1.52%
3.PTTEP ปิดที่ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 2.33%
4.PTTGC ปิดที่ 39.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 4.70%
5.KBANK ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 2.06%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่205.00บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.97%
2.BH ปิดที่242.00บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.82%
3.SAPPE ปิดที่83.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.78%
4.SNNP ปิดที่ 17.30 บาท ลดลง 0.70บาท หรือ 3.89%
5.KCE ปิดที่ 38.50 บาท ลดลง 0.50บาท หรือ 1.28%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,887.73 จุด เพิ่มขึ้น 20.74 จุด หรือ 1.11% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 852.03 จุด เพิ่มขึ้น 9.29 จุด หรือ 1.10% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 417.44 จุด เพิ่มขึ้น 4.66 จุด หรือ 1.13%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้น สอดคล้องกับตลาดเอเชีย อาทิ ฮ่องกง และจีน ขานรับข่าวธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ซึ่งมาตรการดังกล่าวช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีแรงซื้อในกลุ่มอสังหาฯรวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EV
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์และไฟแนนซ์ โดย SCB ที่ปรับตัวบวกนำกลุ่มหลังจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งจากการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลสูงทั้งกลุ่ม และ MTC ที่ประกาศผลประกอบการ กำไรสุทธิสูงกว่าที่ตลาดคาด โดย NPL ลดลงสะท้อนความสามารถในการควบคุม NPL ได้ ซึ่งต้องติดตามการประกาศผลประกอบการหุ้นการเงินต่อ หาก NPL ลดลงก็จะเป็นผลบวกทำให้หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก และต่างชาติอาจเข้ามาซื้อโดยเริ่มเห็นเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ โดยเฉพาะในวันนี้ที่เห็น Flow เข้ามาในหุ้นที่มีการจ่ายปันผล และหุ้นบางตัวที่คาดว่าจะฟื้นกลับมาในปีนี้ ซึ่งหาก Flow กลับเข้ามาทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้คาดดัชนีปรับตัวขึ้นได้ต่อ
"มองว่าพรุ่งนี้ตลาดจะยังโฟกัสในหุ้นปันผลสูง เช่น KTB และหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุน EV อาทิ EA,NEX ,GPSC โดยประเมินกรอบดัชนีการลงทุนแนวรับที่ 1,385 จุด และ แนวต้านที่ 1,403 จุด" นายศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย