นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (21 ก.พ.) ที่ระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.90-36.15 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 35.95-36.09 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่หนุนให้ราคาทองคำรีบาวนด์ขึ้นได้ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ขึ้นของราคาทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่าปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นได้แผ่วลงชัดเจน (เราคง Call Short-term peak เงินบาท 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่ได้ประเมินไว้ ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์) สะท้อนผ่านการทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอย่างต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากที่เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุระดับ 36.20 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทยังขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจน ทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงนี้ อาจมีลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ แต่มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง) ซึ่งต้องจับตาว่าเงินบาทจะเผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม เช่น แรงกดดันจากทางการเมือง เพื่อเร่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรีบลดดอกเบี้ย หรือโฟลว์ขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติหรือไม่ โดยเบื้องต้นเราประเมินว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นผ่านโซนแนวรับ 35.80-35.90 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ง่าย หากไม่มีปัจจัยหนุนการแข็งค่าใหม่ๆ ที่ชัดเจน
อนึ่ง เรามองว่าควรระวังความผันผวนของตลาดค่าเงินในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟด และ ECB นอกจากนี้ การตอบสนองของผู้เล่นในตลาดต่อรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่สามารถส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินอาจสร้างความผันผวนให้ตลาดค่าเงินได้ โดยในกรณีที่ ตลาดเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง จะทำให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงต่อได้ ในทางกลับกัน หากตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจะสามารถหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในระยะสั้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (รับรู้ในช่วง 02.00 น. เช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาประเทศไทย) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรายงานการประชุม ECB ล่าสุด เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ ECB เทียบกับเฟด จะส่งผลต่อทิศทางเงินยูโร (EUR) ได้พอสมควร
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจรายงานผลประกอบการของ Nvidia เป็นพิเศษ และการตอบสนองของราคาหุ้น Nvidia ต่อรายงานผลกำไร จะส่งผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในบรรยากาศปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) สอดคล้องกับสัญญาณการปรับตัวลดลงของสัญญาฟิวเจอร์ส ท่ามกลางแรงกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่ม Semiconductor เป็นหลัก โดยเฉพาะ Nvidia -4.4% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างไม่แน่ใจว่า รายงานผลประกอบการของ Nvidia ในช่วงหลังตลาดปิดทำการวันพุธนี้จะส่งผลให้ราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้นต่อได้หรือไม่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมาก่อน ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -0.92% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.60%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อลง -0.10% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่ม Semiconductor เช่น ASML -2.5% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งปรับตัวขึ้นได้ดีก่อนหน้า ขณะเดียวกัน การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบจากความกังวลแนวโน้มอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันกดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นกัน
ในฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กดดันให้โดยรวมบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้างและยังคงแกว่งตัวในกรอบ 4.20-4.30% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในโซนเหนือกว่า 4.20% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจ และนักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน โดยนักลงทุนอาจใช้กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ หรือ ETF อย่าง IEF (iShares 7-10 Year Treasury Bond ETF) รวมถึงตราสารที่มี IEF เป็น underlying เพื่อเป็น proxy ในการลงทุนตามมุมมองดังกล่าวได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เนื่องจากเงินดอลลาร์ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มทยอยลดสถานะ Long USD ลงบ้าง กดดันให้เงินดอลลาร์มีจังหวะย่อตัวลงเล็กน้อย ทว่าภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอช่วยพยุงเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.8-104.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี รวมถึงบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) สามารถรีบาวนด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท