xs
xsm
sm
md
lg

ตัวเลขนักท่องเที่ยวฟื้นแข็งแกร่ง กลุ่มท่องเที่ยวคึกรับอานิสงส์เต็มเหนี่ยว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สทท.คาดดัชนีเชื่อมั่นท่องเที่ยวไตรมาสแรกปีนี้ฟื้น ขณะตัวเลขนักท่องเที่ยวขยับเพิ่มตามคาด โบรกเกอร์ ประเมินภาพรวมของ บจ. กลุ่มท่องเที่ยวหรือ" TOURISM SECTOR ขึ้นจากเดิม จากสัญญาณการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งอย่างแข็งแกร่งและชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะจีนที่เดือน ก.พ. ทะลักเข้ามาวันละเฉียด 3 แสนคน คาดฟื้นตัวเต็มที่ในปี 68 ส่งผลดีหุ้นโรงแรมรับอานิสงส์เต็มๆ อย่าง ERW, CENTEL, MINT, SHR ตลอดจนสายการบิน

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สทท.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ไตรมาส 4 ปี 66 ว่า อยู่ที่ระดับ 77 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 69 สะท้อนสถานการณ์ท่องเที่ยว ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก ขณะดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์สถานการณ์ท่องเที่ยวไตรมาส 1 ปี 67 อยู่ที่ระดับ 82 คาดว่าไตรมาสนี้ สถานการณ์ท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 4 ปี 66 เล็กน้อย และดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผู้ประกอบการคาดการณ์ว่า การท่องเที่ยวในไตรมาสแรกปีนี้ จะดีขึ้นในทุกภูมิภาค โดยภาคเหนือ สถานการณ์ท่องเที่ยวเป็นบวกมากที่สุด ส่วนภาคกลาง เป็นบวกน้อยที่สุด สำหรับธุรกิจที่เป็นบวกมากสุด คือ ธุรกิจสปา/นวดแผนไทย ส่วนธุรกิจแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นบวกน้อยสุด

สำหรับธุรกิจพักแรม มีรายได้ประมาณ 63% และมีการจ้างงานแล้ว 88% อัตราการเข้าพักในไตรมาส 4 ปี 66 เฉลี่ยทั่วประเทศที่ 62% โดยกรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าพักสูงสุดที่ 68% ส่วนค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวไทย ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 4,293 บาท/คน/ทริป

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยเป้าหมายรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี วางไว้เป็นเรื่องดีมาก แม้จะเป็นเป้าหมายที่ทำได้ยากมากในปี 67 แต่ก็ทำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการธนาคารเร่งสร้างนโยบายและโครงการเพื่อมาสนับสนุนให้เกิดรายได้ตามเป้าหมายดังกล่าว หากทำได้สำเร็จก็จะดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งประเทศ และมีโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศอันดับสองของโลกในด้านรายได้ สทท.มองว่าในด้านดีมานด์ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะทำได้ แต่ด้านซัพพลายยังมีความท้าทายหลายด้านที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

"หากต้องการรายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาท จะต้องมาจาก 2 ส่วน คือต่างชาติเที่ยวไทย ซึ่งคาดว่ารายได้จะมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 2.24-2.30 ล้านล้านบาท จะต้องมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 56,000-57,5000 บาทต่อคนต่อทริป และไทยเที่ยวไทยอีก 1.20-1.26 ล้านล้านบาท ซึ่งในปี 62 เราเคยมีรายได้ไทยเที่ยวไทยที่ 1.08 ล้านล้านบาทมาแล้ว หากใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมก็สามารถทำตามเป้าหมายได้" นายชำนาญกล่าว

อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อ 30 ม.ค.ที่ 22,000 คน เพิ่มเป็น 29,955 คน ช่วงต้นเดือน ก.พ.ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับช่วงโควิดเมื่อปี 62 และเพิ่มเป็น 29,129 คนอีกครั้งเมื่อ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ทะลักเข้ามาเดือนนี้ทะลุ 300,000 คน และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกในช่วงเทศกาลตรุษจีน แน่นอนว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบัน 4,385,390 คน ดังนั้น ททท.คาดเดือน ก.พ. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึง 3.1 ล้านคน

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) หรือ บล.หยวนต้าฯ ปรับน้ำหนักการลงทุนหุ้น " TOURISM SECTOR หรือท่องเที่ยว"ขึ้นเป็น “เท่ากับตลาด” เพราะหุ้นผ่านช่วงการปรับลดประมาณการลงของตลาดจากนักท่องเที่ยวต่ำคาดไปแล้วบนประมาณการปัจจุบันของ บล.หยวนต้าฯ ทำแบบอนุรักษ์นิยมกว่าคาดการณ์นักท่องเที่ยวของภาครัฐ สัญญาณการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีนที่ชัดเจนขึ้น ประเมินเป็นจังหวะดีที่จะเริ่มเข้าสะสมใหม่อีกครั้ง

ดังนั้น จึงให้น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เลือก MINT (TP@39.00) เป็นหุ้นเด่นจากคาดกำไรปกติ ไตรมาส 4 ปี66 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ได้แม้ไตรมาสก่อนจะเป็นHigh Season สะท้อนธุรกิจในไทยฟื้นตัวเด่นกว่าคาดหุ้นซื้อขายบนValuation ไม่แพง และตลาดมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกต่อความพยายามลดภาระหนี้สิน ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยใกล้ผ่านจุดสูงสุด ลดแรงกดดันต่อผลประกอบการในระยะถัดไป

บล. กรุงศรี พัฒนสิน หรือ บล. กรุงศรีฯ แนะนำ "POSITIVE" หุ้น TOURISM SECTOR มองบวกมากขึ้นกับแนวโน้มการท่องเที่ยวของไทย เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ Ytd อยู่ที่ 3.03 ล้านคน ขณะที่กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬารายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนมกราคม ที่ 3.03 ล้านคน ( เพิ่มขึ้น42% เทียบปีก่อนแต่ลดลง 7% เทียบเดือนก่อน คิดเป็น 82% ของระดับก่อนโควิด-19 ระบาด) โดยประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยมากที่สุด 5 อันดับได้แก่ จีน 0.5 ล้านคน (48% ของระดับก่อนโควิด-19 ระบาด), มาเลเซีย 0.31 ล้านคน (118%), เกาหลีใต้ 0.22 ล้านคน(107%), รัสเซีย 0.22 ล้านคน (95%) และอินเดีย 0.16 ล้านคน (99%)

ดังนั้น บล. กรุงศรีฯ จึงปรับเพิ่มประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้เป็น 35.8 ล้านคน และปี 68เป็น 40 ล้านคน ซึ่งมองบวกมากขึ้นกับแนวโน้มการท่องเที่ยวของไทย เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมากกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนในเดือนมกราคม 67 ซึ่งคิดเป็น 48% ของระดับก่อนโควิด- 19 ระบาด (เพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 66 และคิดเป็น 17% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด) บล. กรุงศรีฯ ปรับเพิ่มประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 67 เป็น 35.8 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 27% เทียบปีก่อน จากเดิมคาด 33 ล้านคน คิดเป็น 90% เมื่อเทียบก่อนโควิด) และคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 68 เป็น 40 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 11% เทียบปีก่อน โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะอยู่ที่ 7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 97% จากปีก่อนและเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 4.5 ล้านคน คิดเป็น 64% ของเมื่อปี 62 ที่ 10 ล้านคน จากมาตรการ free visa ระหว่างกันของประเทศไทย-จีน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 67 และความคาดหมายว่าจะมีมาตรการกับประเทศอื่น ๆ เพิ่มอีกอย่างเช่น ตะวันออกกลาง และ รัสเซีย ฯลฯ ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ ให้เพิ่มขึ้นอีก

อย่างไรก็ดี บล. กรุงศรีฯ มองบวกกับ AOT และผู้ประกอบการโรงแรมที่เน้นกิจการในประเทศจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวขึ้นในเดือนมกราคม 67 และน่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 67-68 จึงมองบวกกับแนวโน้มของผู้ประกอบการโรงแรมที่เน้นตลาดในประเทศ และกลุ่มโรงแรมระดับกลางถึงหรู โดยบล. กรุงศรีฯ ชอบ ERW (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.40 บาท) เพราะ 67% ของรายได้ทั้งเครือมาจากโรงแรมในประเทศระดับกลางถึงหรู และหุ้นสนามบินอย่าง AOT (BUY, TP Bt75) ซึ่งจะได้อานิสงส์โดยตรงจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น

บล.ดาโอ คำแนะนำ "Underweight" หุ้นกลุ่ม Tourism หลังนักท่องเที่ยวต้นเดือน ม.ค.เพิ่มขึ้น 15% เทียบสัปดาห์ก่อน จากนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ซึ่ง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์แรกของปี67 พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 694,826 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 15% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 99,261 คน ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 104,570 คน เพิ่มขึ้นถึง 28% เทียบสัปดาห์ก่อน รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซียเพิ่มขึ้น 27% และนักท่องเที่ยวอินเดียเพิ่มขึ้น 17% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในทุกภูมิภาค สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 -14 ม.ค. ทั้งสิ้น 1,300,363 คน

ดังนั้น บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว เพราะมองเป็นบวกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้นตามคาดเพราะเป็นช่วง High season ของไทย โดยเติบโตได้ดีที่ 15% จากสัปดาห์ก่อน โดยมีนักท่องเที่ยวจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เพิ่มขึ้นได้ถึง 28% มาแตะระดับ 1 แสนคนต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงมากทั้งๆที่ไม่มี event อะไรที่มีนัยสำคัญ (ระดับ 1 แสนคนต่อสัปดาห์ที่เคยมีคือช่วงที่มีคอนเสิร์ต Jay Chou และช่วงปลายเดือน ก.ย.66 ที่เพิ่งเริ่มให้ฟรีวีซ่ากับจีน) ทั้งนี้ ประเมินจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันในช่วงที่เหลือของเดือน ม.ค. 67 จะอยู่ระดับ 9 หมื่น-1 แสนคน/วัน ได้เพราะยังอยู่ในช่วง High season ของไทย ขณะที่ยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวปี 67 อยู่ที่ 33 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18% เทียบปีก่อน

สำหรับ หุ้นที่จะได้ประโยชน์คือหุ้นในกลุ่มโรงแรม โดยหุ้นที่จะได้รับผลบวกจากมากไปน้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในประเทศไทย คือ ERW, CENTEL, MINT, SHR นอกจากนี้ยังมี AAV และ AOT ที่ได้ประโยชน์อีกด้วย ดังนั้น จึงยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “ต่ำกว่าตลาด” โดยจากประเด็นนี้ ชอบ AAV (ซื้อ/เป้า 2.70 บาท) และ ERW (ซื้อ/เป้า 6.50 บาท) มากที่สุด เพราะ AAV ได้ประโยชน์ที่นักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตดีสุด เนื่องจากมีสัดส่วนเส้นทางบินจีนสูงสุด (ปี 62 มีสัดส่วนผู้โดยสารจีนคิดเป็น 30% ของผู้โดยสารระหว่างประเทศ) และความต้องการท่องเที่ยวที่สูงทำให้ค่าตั๋วโดยสารจะยังทรงตัวสูงต่อเนื่อง เพราะมีสัดส่วนรายได้จากสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่สูงที่สุดในกลุ่มราว 15% และมีโรงแรมในประเทศไทยสูงถึง 88 % และได้ประโยชน์สูงสุดจากการเข้าสู่ High seasonของไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น