นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) เปิดเผยว่า ในปี 2567-2569 นี้ นับเป็นการเริ่มต้นแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่ 4 โดยมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน ทำให้กรุงศรีเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ MUFG ที่ต้องการมุ่งสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันทั้งในด้านความยั่งยืน การเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบและการพัฒนาชุมชน
"แผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ประจำปี 2567-2569 เป็นมากกว่าแผนงาน โดยแก่นหลักของแผนฉบับนี้คือความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็น 'ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน' ที่สะท้อนถึงคำมั่นสัญญาขององค์กรสู่อนาคตที่ยั่งยืนและการสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยแผนธุรกิจฉบับนี้มุ่งเป้าไปยังสามประการหลัก ได้แก่ การเป็นธนาคารชั้นนำเพื่อความยั่งยืน การขับเคลื่อนความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค และการรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร"
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2567 ตั้งเป้าหมายสินเชื่อเติบโตที่ 3-5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.8-4.1% อัตราส่วนสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ราว 2.50-2.75% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income) จะอยู่ที่ระดับ mid-40% ขณะที่ปี 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไรสุทธิที่ 33,795 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อนหน้า สินเชื่อเติบโต 3.5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย 3.91% และมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ 44.5%
โดยการเติบโตของสินเชื่อที่ระดับ 3-5% นั้น แบ่งเป็นส่วนของสินเชื่อธุรกิจเติบโต 4-6% สินเชื่อ SME เติบโต 2-3% และสินเชื่อรายย่อยเติบโต 3-5% เป็นสินเชื่อรายย่อยในประเทศเติบโต 2-3% ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการดูแลหนี้ครัวเรือน ขณะที่สินเชื่อรายย่อยในต่างประเทศเติบโต 13-15% เนื่องจากยังมีโอกาสเติบโตอีกสูงจากฐานที่ไม่มากนัก ขณะที่งบลงทุนด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีของธนาคารโดยรวมจะมีจำนวนประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี
"คุณภาพของสินเชื่อธนาคารในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ส่วนแนวทางการจัดเก็บหนี้ก็ปฏิบัติตามแนวทางที่ ธปท.และสมาคมธนาคารไทยมีออกมา โดยในส่วนของลูกค้าเดิมที่เป็นเอ็นพีแอลจะให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ไปพร้อมๆ กับการปล่อยสินเชื่อใหม่ด้วยแนวทางการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ"
ทั้งนี้ ปัจจุบันเครือข่ายของธนาคารกรุงศรีและ MUFG มีอยู่ 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน โดยปัจจุบันมีบริษัทในเครือกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 17 ล้านราย ซึ่งถือเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งให้กรุงศรีในการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาค และยังเป็นส่วนที่ธนาคารให้ความสำคัญเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังมีการเติบโตได้อีกมาก โดยปี 66 ที่ผ่านมา รายได้จากต่างประเทศเติบโต 14% และคาดว่าจะเติบโตได้ 25% ในอีก 3 ปีข้างหน้าซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของธนาคาร
ด้านเป้าหมายด้าน ESG นั้น ธนาคารได้วางเป้าหมายในการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนที่ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2573 โดยในปี 2566 ธนาคารมียอดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้น 71,000 ล้านบาท โดยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่นี้ ธนาคารจะมุ่งขยายบริการทางการเงินเพื่อความยั่งยืนเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อยที่หลากหลายยิ่งขึ้น และยังให้ความสำคัญกับการจัดหาเงินทุนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจ และ SME ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำ
"ในปีที่ผ่านมาบริษัทในเครือของธนาคาร อย่างกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกรุงศรี ออโต้ ประสบความสำเร็จในการรักษาความเป็นผู้นำตลาด โดยได้นำกลยุทธ์ One Retail มาใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อ Cross sale ซึ่งในปีนี้จะยังคงดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจจะมุ่งการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ โดยได้นำเอาระบบเทคโนโลยีที่้ธนาคารได้ลงทุนพัฒนาเข้ามาช่วย และจะนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน"