ในที่สุด "โอภาส ศรีพยัคฆ์" ลูกหม้อคอนโดดัง'ลุมพินี' ตัดสินใจ ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ LPN หลังจากได้พาองค์กรฝ่าคลื่นมรสุม สู้วิกฤตต่างๆ มาจนรอด พร้อมประกาศกลับมาทวงบัลลังก์ ตามแผนโรดแมพใหม่ 5 ปี สร้างยอดขายสะสมรวมไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท
น.ส.กรกนก ยิ้มถนอม ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทส บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/ 2566 เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2566 ได้มีมติแต่งตั้ง นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ แทนนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ที่เกษียณอายุ โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2567 เป็นต้นไป
โดยบริษัทได้รับทราบการลาออกของนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ จากการเป็นกรรมการบริษัท ประธานกรรมการบริหาร กรรมการสรรหา ค่าตอบแทน บรรษัทภิบาล และความยั่งยืน ประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงและกรรมการผู้จัดการ โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัท จะดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการและแก้ไขอำนาจกรรมการข้างต้น ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และดำเนินการยื่นแบบแจ้งเปลี่ยนแปลงยข้อมูลบุคคลเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ต่อไป
"โอภาส ศรีพยัคฆ์" จากสายวิชาชีพ สู่นักบริหารองค์กร
สำหรับนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ต้องถือว่าเป็นผู้บริหารที่มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทนในการขับเคลื่อนธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ของบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ในวงการคอนโดมิเนียม ซึ่งนายโอภาส เป็นลูกหม้อ LPN ที่ร่วมงานกับ LPN มาตั้งแต่ปี 2538 ได้เรียนรู้ผ่านงานมาหลายๆแผนก ซึ่งได้สร้างฐานประสบการณ์ที่แข็งแกร่งให้กับนายโอภาส และสิ่งที่มาเป็นจุด 'เปลี่ยนครั้งสำคัญ'เมื่อนายโอภาส ซึ่งมีพื้นฐานการเติบโตมาในสายวิชาชีพ ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ ในบทบาทที่ใหญ่ขึ้น
โดยในเดือนเมษายน 2549 นายโอภาส ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ คนใหม่อย่างเป็นทางการ แทน “นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข” ที่ในเวลานั้น ไปนั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร
จะว่าไปแล้ว นายโอภาส เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ช่วยนำพาให้ LPN ผ่านพ้นวิกฤติในปี 2540 มาได้ และเป็นผู้บริหารระดับสูงที่เติบโตมาพร้อมกับองค์กร มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่รอบด้าน โดยได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้า ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนา ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์
ทั้งนี้ ในช่วงที่ นายโอภาส เข้ามานั่งเป็นแม่ทัพใน LPN สถานการณ์และภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่มีวิกฤต ตลาดอสังหาฯกำลังฟื้นตัวและเติบโตอย่างมาก
"ผมเข้ามาในช่วงที่บริษัทดีที่สุด ไม่ได้เข้ามาเหมือนบริษัทอื่นที่บริษัทแย่ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้พนักงาน คิดว่า ผมเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นี้ เอาเป็นว่า ผมไม่ใช่คนเก่งที่สุด ดีที่สุด เป็นคนกลางๆ รู้ทุกเรื่อง ทั้งก่อสร้าง ขาย ออกแบบ เหมาะที่จะนำองค์กรไปในทิศทางที่วางไว้อยู่แล้ว"นายโอภาสกล่าว
ทั้งนี้ หลังจากบริหารธุรกิจอสังหาฯ LPN มาได้ 12 ปี นั้น ในวันที่ 11 ม.ค.2561 บอร์ด LPN ได้แต่งตั้งนายโอภาส กรรมการผู้จัดการ LPN ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ควบคู่กันไป
ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้บริหารที่มากด้วยความสามารถ ก็มีความคิด (ดังมาถึงสื่อมวลชน)ว่า "ถ้า LPN ผ่านวิกฤต ผมจะลา พักร้อนยาว ส่องกระจกมองตัวเองทีไร หากย้อนเวลากลับไปได้ ไม่รับตำแหน่งดีกว่า เพราะยิ่งมองยิ่งแก่"
แต่กระนั้น การวางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน LPN ไปข้างหน้า ก็ยังเป็น พันธกิจ ที่นายโอภาส ต้องวางรากฐานความแข็งแกร่งให้กับ LPN ยิ่งผลกระทบจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา LPN เป็นอีกหนึ่งองค์กร ที่เตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งการบริหารพอร์ตโครงการ ชะลอเปิดโครงการใหม่ เร่งระบายสินค้า รักษากระแสเงินสดให้แข็งแกร่งตามแนวนโยบายที่ LPN ยึดมั่นมาตลอด (จะว่าไปแล้ว LPN มีกำไรสะสมที่สูงมาก)
โดยก่อนหน้านี้ แม้จะมีโรดแมพแผน 3 ปี แต่ด้วยโควิด ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับโครงสร้างภายใน และปรับแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยปรับเปลี่ยน แผนจากแผน 3 ปี เป็นแผน 5 ปี โดยนับเริ่มต้นในปี 2565 -2569 และภายใต้แนวคิดดังกล่าวบริษัทวางแผนการพัฒนาโครงการใหม่ตั้งแต่ปี 2565-2569 จำนวนไม่น้อยกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท ยอดขายรวมสะสม 5 ปี ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากไปดูผลงานฐานะการเงินแล้ว บริษัทฯสามารถรักษาระดับสินทรัพย์ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน สูงกว่า 22,000 ล้านบาทได้ ตัวเลขล่าสุดงบ 9 เดือนปี 2566 มีสินทรัพย์ 26,000 ล้านบาท รายได้รวม 5,561 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 336 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ล้านบาท) อยู่ระดับที่เกินกว่า 5,000 ล้านบาท
ล่าสุด LPN ชูคอนเซ็ปท์ไอเดียของ Corporate Campaign สร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ติดธุระที่บ้าน’ LPN มุ่งมั่นตั้งใจที่จะสื่อสารถึงหัวใจสำคัญของแบรนด์ในเรื่องความ ‘น่าอยู่’ เป็นสำคัญ และสร้างสรรค์เรื่องราว ที่สะท้อนความ ‘น่าอยู่’ ในรูปแบบของ หนังโฆษณาถึง 3 เรื่อง ที่สื่อถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพของ LPN ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโด ที่เต็มไปด้วยความน่าอยู่ จนไม่อยากออกไปไหน และเกิดเป็นวลีที่ติดปากคนไทยคือ ‘ติดธุระที่บ้าน’ โดยเกิดจากมุมมองของครีเอทีฟ ผ่านการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของ กลุ่มคนในหลากหลายเจนเนอเรชั่นในปัจจุบัน อาทิ วัยรุ่น วัยทำงาน และวัยที่กำลังสร้างครอบครัว เป็นต้น รวมถึงความน่ารักของตัวแสดงแต่ละซีนที่จะทำให้คนดูได้รู้สึกร่วม และเผลออมยิ้มไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ คงต้องมาติดตามใน 'หนังม้วน' ใหม่ ซึ่งต้องมอนิเตอร์กันว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่กลุ่มใหม่ ที่เข้ามาเก็บหุ้น LPN มาตลอดต่อเนื่อง โดยอันดับ 1 มี น.ส.วรัญญา ฉัตรพิริยะพันธ์ มีหุ้นในมือ 185 ล้านหุ้น คิดเป็น 12.72% (มีน.ส.ดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ ถือหุ้น 1.70% และ นายอนันต์ ฉัตรพิริยะพันธ์ ถือหุ้น 1.38%) ซึ่ง น.ส.วรัญญา หรือ 'คุณฟ้า'เป็นบุตรสาวคนโตของ ‘ชาญยุทธ ฉัตรพิริยะพันธ์’ผู้ปลุกปั้นธุรกิจรีไซเคิล ‘ไคฮวดจั่น’ที่มีเงินหมุนเวียนปีละไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท.