xs
xsm
sm
md
lg

SIRI ขึ้น 46 โครงการใหม่ มูลค่า 61,000 ล้านบาท ปั๊มพอร์ตบ้านลักชัวรี ทุ่มหมื่นล้านบาทซื้อที่ดินเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายอภิชาติ จูตระกูล
แสนสิริ โชว์แกร่งก้าวสู่ปีที่ 40 ประกาศแผนลงทุนรับการเติบโตทุกด้าน เผยปี 67 ปูพรม 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายกว่าครึ่งแสนล้านบาท ยอดโอนสู่ระดับ 43,000 ล้านบาท พร้อมรุกตลาดหัวเมืองท่องเที่ยวที่ศักยภาพสูง เผยเหตุคอนโดฯ เปิดตัวมาก เหตุติดปม EIA มั่นใจโปรดักต์แนวราบทุกเซกเมนต์หนุนโอกาสสร้างผลประกอบการที่ดี แนวราบยังเป็นดาวเด่น เผยแบงก์ไม่ห่วงลูกค้าแสนสิริ มีคุณภาพ หนี้เสียน้อย โชว์ยูนิตพร้อมขายยาว 3 ปีกว่า 146,000 ล้านบาท

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่แสนสิริ ก้าวสู่ปีที่ 40 ซึ่งได้ผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งวิกฤตกับโอกาสเป็นของคู่กัน ทุกวิกฤตทำให้องค์กรแข็งแกร่งและเติบโตขึ้น ประสบการณ์ที่ได้รับไม่ว่าจะดีหรือแย่ก็ผ่านมาได้และไม่ซีเรียสกับเหตุการณ์ต่างๆ

"เราไม่ได้เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เราเป็นสถาบันธุรกิจ ตอนนี้การทำงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แสนสิริต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อสู่ทรานส์ฟอร์ม มีการส่งเสริมคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานมากขึ้น ตนมีหน้าที่ในการวางแนวทางเพื่อให้องค์กรแข็งแกร่ง ซึ่งในปีนี้ เราจะดำเนินธุรกิจด้วยแนวทาง RESILIENT GROWTH-ยืนหยัด ยั่งยืน โดยนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรมมาต่อยอดธุรกิจ และเป้าหมายกำไรสุทธิที่คาดจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้ผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี ถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถเปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้าร้อยละ 50 และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า" นายอภิชาติ กล่าว


ปูพรมขึ้น 44 โครงการ 65,000 ล้านบาท

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า ในปี 2566 ดำเนินตามแผนธุรกิจที่วางไว้ สามารถเปิดได้ 44 โครงการ มูลค่า 65,000 ล้านบาท (ส่วนใหญ่จะเปิดโครงการแนวราบ) โดยสร้างยอดขายได้ 49,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท (กลุ่มบ้านเดี่ยวสามารถโอนได้เกือบทั้งหมด) และสามารถปิดการขายได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 แสนสิริเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่าสูงขึ้นถึง 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักชัวรีมากขึ้น และตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 40% และแนวราบ 60% และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% หลักๆ 70% มาจากโครงการแนวราบถึง 30,000 ล้านบาท

เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลต์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกล่ม Sansiri Luxury Collection จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี 'นาราสิริ บางนา กม.10' มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 55 ล้านบาท การเปิดตัวเศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ารุกตลาดแนวราบในระดับราคาเข้าถึงง่าย ผ่านการเปิดตัวแบรนด์สราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท

พร้อมจ่อคิวขยายพอร์ตแนวราบ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ณริณสิริ แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก 'ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา' มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ราคา 45-70 ล้านบาท และ 'มาเบิล' (Mable) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ 'มาเบิล บางนา 26' มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมงบลงทุนจัดซื้อที่ดิน 10,000 ล้านบาท รองรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2568

แสนสิริ กับการเปิดคอนโดฯ The Standard Residence หัวหิน เป็นครั้งแรก มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท
ปม EIA กับคอนโดฯ เลื่อนมาเปิดปี 67

สำหรับโครงการกลุ่มธุรกิจแนวสูงจะเปิดคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการจำนวนหนึ่งต้องเลื่อนมาเปิดในปี 67 เพราะติดเรื่องการพิจารณาในเรื่องการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ส่งผลให้จำนวนและมูลค่าการเปิดโครงการคอนโดฯ สูงกว่าปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ แสนสิริได้รุกขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น เริ่มจากกลุ่มคอนโดฯ ระดับลักชัวรีขึ้นไป ได้แก่ การเปิดขาย The Standard Residence หัวหิน เป็นครั้งแรก มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท และการเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61 รวมถึงการเดินหน้าต่อของแบรนด์แคมป์คอนโดฯ เปิด 3 โครงการ มูลค่า 2,800 ล้านบาท พร้อมกับรีเฟรซแบรนด์ เดอะ เบส กับการเปิด 2 โครงการ มูลค่าราว 3,600 ล้านบาท

นายอุทัย อุทัยแสงสุข
แบงก์ไม่ห่วงลูกค้าแสนสิริ ชี้เป็น NPL น้อย

นายอุทัย กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ว่า เราคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ระดับ 3% และอาจจะมากกว่านี้หากมีเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเรามองว่า การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย 1% มีผลต่ออำนาจการซื้อประมาณ 7-8% ขณะที่เรื่องของ LTV หากไม่มีการยกเลิกจะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ เหมือนปี 66

"รีเจกต์เรตของแสนสิริน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 7 ส่วนกลุ่มลูกค้าระดับล่างมีตัวเลขร้อยละ 10-20 เป็นสัดส่วนไม่มาก ขณะที่ลูกค้ากลุ่มระดับบน ร้อยละ 30 จ่ายเงินสดในซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี ธนาคารให้ความมั่นใจลูกค้าของแสนสิริ เนื่องจากเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) น้อยมาก บ่งบอกว่าลูกค้าแสนสิริมีคุณภาพ"


มียูนิตพร้อมขายยาว 3 ปี มูลค่า 1.46 แสนล้าน

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า เรามองเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือ เรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ภาระหนี้ครัวเรือน ความมั่นใจของนักลงทุน (ตลาดทุน/ตราสารหนี้) และการเปลี่ยนแปลงด้าน TECHNOLOGY

ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจอาจจะมีจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดฯ โครงการเมกะโปรเจกต์ การขยายต่อมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ และ DIGITAL WALLET และมาตรการอื่นๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประเทศ

และเพื่อก้าวไปถึงเป้าหมาย แสนสิริจะเน้น 3 กลยุทธ์ที่มุ่งไปสู่ผลสำเร็จในปี 67 ได้แก่ 1.รับษาผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง มุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้ผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปี ล่าสุดอยู่ที่ 12.4%

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ
2.บริการจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขายให้กระจายไปในหลากหลายทำเล ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขาย เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน แสนสิริมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้จะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า (ทั้งนี้ในแต่ละปี แสนสิริจะมีซัปพลายออกสู่ตลาด 8,000 ยูนิต) รวมถึงการรุกไปหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา และหัวหิน โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%

พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community ยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบอีก 4 คอมมูนิตี ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา บางนา กม.10 ศรีวารี และวงแหวน-ลำลูกกา รวมเป็น 12 คอมมูนิตี ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยการบริหารจัดการที่ดินได้มีประสิทธิภาพ ซึ่งในแต่ละปีราคาที่ดินปรับขึ้นเฉลี่ย 11.8%
กำลังโหลดความคิดเห็น