นางฟาน ชุค วาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนประจำภูมิภาคเอเชีย เอชเอสบีซี โกลบอล ไพรเวทแบงก์กิ้งแอนด์เวลธ์ (HSBC GPB) เปิดเผยว่า HSBC GPB คาดการณ์ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเดือนมิถุนายน 2567 และทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่การฟื้นตัวของกำไรของภาคธุรกิจและการเติบโตที่แข็งแกร่งในเอเชียสร้างความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงและทำให้มีแนวโน้มการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ทั่วโลกที่ดีขึ้นในปี 2567 โดยในครึ่งปีแรกของปี 67 แนะนำใช้แนวทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง ลดปริมาณเงินสดให้น้อยลง เพิ่มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธบัตรโลก (Investment grade) และปรับเพิ่มกองทุนประเภทเฮดจ์ฟันด์ให้สอดคล้องกับตลาด ขณะที่ยังคงรักษามุมมองที่เป็นกลางต่อกองทุนในกลุ่ม Global Equities ทั่วโลกด้วยการเพิ่มน้ำหนักให้ตราสารทุนของสหรัฐฯ รวมถึงตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและละตินอเมริกามากขึ้นอีกเล็กน้อย
สำหรับหุ้นในเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น HSBC GPB ให้ความสำคัญกับประเทศที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจึงจัดสรรการลงทุนสูงขึ้นในอินเดีย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ แต่ยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธุรกิจในภาคบริการของจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเอาไว้ ตลอดจนยังมีความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากยังมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงและส่วนต่างในการเติบโตอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่มั่นคงในช่วงที่สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีความไม่แน่นอน
"เรามองว่าตราสารหนี้ในกลุ่มอันดับเครดิตน่าลงทุนเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยกลยุทธ์ของเรา คือ การมุ่งเน้นล็อกผลตอบแทนที่น่าดึงดูดจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร รวมถึงพันธบัตรที่มีคุณภาพ (Investment grade) ทั้งในตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ในขณะที่การเติบโตทั่วโลกในปี 2567 น่าจะชะลอตัว แต่เอเชียยังมน่าสนใจ เนื่องจากความมั่งคั่งของกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นชนชั้นกลางเริ่มฟื้นตัว อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยภายในประเทศที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี เราคาดว่าจีดีพีของเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นจะเติบโตร้อยละ 4.5 ในปี 2567 นี้ หรือเกือบ 2 เท่าของอัตราการเติบโตเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 2.4 โดยคาดว่าอินเดียจะมีการเติบโตมากสุดที่ร้อยละ 6 ตามด้วยอินโดนีเซียที่ร้อยละ 5.2 และจีนที่ร้อยละ 4.9 โดยเราจะให้ความสำคัญกับตลาดเอเชียที่มีโมเมนตัมเชิงบวกและมีการเติบโตเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ซึ่งอินเดียและอินโดนีเซียมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศได้รับประโยชน์จากความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน มีผู้บริโภคที่เป็นชนชั้นกลางและประชากรที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น และมีการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) จำนวนมาก"
ด้านนายเจมส์ เชียว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เอชเอสบีซี โกลบอล ไพรเวทแบงกิ้งแอนด์เวลธ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะเติบโตแข็งแกร่งมากขึ้นในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการเติบโตนี้มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐบาล และการฟื้นตัวของการค้าขายทั่วโลกที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะแม้ว่าการท่องเที่ยวของจีนจะชะลอตัวแต่นโยบายฟรีวีซ่าน่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตของจีดีพีที่ร้อยละ 3.8 ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยจะอยู่ในระดับต่ำและสามารถควบคุมได้ แต่หากราคาอาหารสูงขึ้นอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ โดยเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.5 ตลอดระยะเวลาที่เหลือของปี 2567 และเงินบาทน่าจะทรงตัวอยู่ที่ 34.2 ต่อดอลลาร์สหรัฐภายในช่วงสิ้นปี 2567
ส่วนตลาดหุ้นไทย ผลประกอบการโดยรวมคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ยังต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย โดยมีมูลค่าการซื้อขายในตลาดตราสารทุนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดโลกและการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอาจเป็นอุปสรรคที่ฉุดรั้งตลาดได้ เราจึงค่อนข้างระมัดระวังต่อการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในตลาดไทย ณ เวลานี้