นายกิตติชัย นาคะประเสริฐกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.คิวทีซีจี (QTCG) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ QTCG เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO ด้วยมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 1/67 ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ปัจจุบัน QTGC มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนหุ้น 600 ล้านหุ้น แบ่งเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 210 ล้านบาท และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทดำเนินธุรกิจด้านงานรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร (Mechanical & Electrical: M&E) อย่างครบวงจร ประกอบด้วย 1) ระบบไฟฟ้าและการสื่อสาร 2) ระบบปรับอากาศและการระบายอากาศ 3) ระบบสุขาภิบาลและระบบประปา และ 4) ระบบป้องกันไฟภายในอาคาร
ด้วยประสบการณ์กว่า 22 ปี ทำให้บริษัทมีทีมวิศวกรที่มากด้วยประสบการณ์ และมีศักยภาพให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมภายในอาคารทุกระบบอย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบผู้รับเหมาหลัก (Main contractor) และในรูปแบบผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) ซึ่งรูปแบบการให้บริการของบริษัทสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในการดำเนินงานติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคารอย่างต่อเนื่อง
บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มอาคาร กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มโรงแรม เป็นต้น และด้วยจุดเด่นการเป็นหนึ่งในผู้นำด้านวิศวกรรมงานระบบครบวงจรของไทย ส่งผลให้บริษัทพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่การสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
นายธิติวัฒน์ เงินนำโชคธนรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QTCG เปิดเผยว่า การเข้าตลาด mai ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน เพื่อสยายปีกและต่อยอดธุรกิจให้แข็งแกร่ง และเพิ่มโอกาสการรับงานโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัทภายในปี 67-68 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันขยายโอกาสสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการด้านรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร (Mechanical & Electrical: M&E) อย่างครบวงจรของประเทศไทย ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาคุณภาพงาน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า จากการใส่ใจความต้องการของลูกค้า การบริหารงานที่ดี การควบคุมกระบวนการทำงาน การบริหารและจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพภายใต้มาตรฐานสากล
ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 64-65 และงวด 9 เดือนแรกปี 66 บริษัทมีรายได้จากงานก่อสร้างและงานบริการ 625.48 ล้านบาท 905.50 ล้านบาท และ 590.52 ล้านบาท ตามลำดับ เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ที่รับรู้จากงานก่อสร้างในการให้บริการรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคารเป็นหลัก ด้านกำไรสุทธิ 23.43 ล้านบาท 101.76 ล้านบาท และ 25.60 ล้านบาท ตามลำดับ
งวด 9 เดือนปี 66 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 25.60 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าจำนวน 50.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการลดลงที่ร้อยละ 66.28 โดยมีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มบริษัทไม่มีรายได้จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ไม่มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพจำนวน 4.66 ล้านบาท และกำไรจากการขายเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จำนวน 25.87 ล้านบาท รวมถึงกำไรจากการกลับรายการ (ผลขาดทุน) ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 19.21 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่ารวมในงวด 9 เดือนปี 65 จำนวน 49.74 ล้านบาท หากตัดผลกระทบดังกล่าวออกไป บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 26.20 ล้านบาท และ 25.60 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกัน
ณ วันที่ 25 ธ.ค.66 บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้รับรู้รายได้ประมาณ 1,248 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานขนาดใหญ่ในกลุ่มลูกค้าที่มีชื่อเสียง เช่น โครงการ CIB International school โครงการ คอนโด ชูช์ ราชเทวี (SHUSH) โครงการก่อสร้างอาคารกระทรวงมหาดไทย โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยาย ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซน C โครงการ วัน อมตะ โครงการก่อสร้างอาคารใหม่ตลาดยิ่งเจริญ โครงการ KIS International school เป็นต้น