นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (5 ม.ค.) ที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.65 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และประเมินกรอบ 34.35-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 34.43-34.58 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานออกมาดีกว่าคาด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟดบ้าง ส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับใหม่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ทั้งนี้ เงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าไปไกลจากแนวต้านสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ไปมากนักตามที่เราประเมินไว้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปรับสถานะ Long THB (มองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น)
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงทดสอบโซน 34.60 บาทต่อดอลลาร์ (โซนแนวต้านถัดไปจะอยู่แถว 34.80 บาทต่อดอลลาร์) หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดอาจทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยลงของเฟด ซึ่งภาพดังกล่าวจะทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ กดดันทั้ง ราคาทองคำและค่าเงินบาท
ทั้งนี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน หรือไม่ได้ดีกว่าคาดไปทั้งหมด เช่น ยอดการจ้างงานชะลอลงกว่าคาด อาจทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงได้บ้าง แต่เรามองว่า อาจไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปมาก โดยเงินบาทอาจเพียงทยอยกลับมาแข็งค่าสู่โซนแนวรับแถว 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์ และอาจเป็นเรื่องยากในช่วงนี้ที่จะเห็นเงินบาทแข็งค่าหลุดโซน 34 บาทต่อดอลลาร์ หากไม่มีปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจน เช่น ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในช่วงนี้อาจยังมีความผันผวนไปตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings %y/y) รวมถึงรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการโดย ISM (Services PMI) เดือนธันวาคม โดยผู้เล่นในตลาดจะใช้ข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนในเดือนธันวาคม โดยหากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ชะลอตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.40% ตามคาด หรือต่ำกว่าอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงคาดหวังว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงในปีนี้
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ในเดือนธันวาคม ซึ่งเราประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI มีโอกาสติดลบต่อเนื่องราว -0.5% จากฐานราคาสินค้าและบริการที่สูงในปีก่อนหน้า มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจยังอยู่ที่ระดับ 0.60%