ตลาด crypto ในปี 2023 สะท้อนให้เห็นถึงขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงสำหรับ crypto โดยที่ Bitcoin ( BTC ) ประสบกับการเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YTD) ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจทั่วโลก
โดยในปีนี้จำนวนผู้ใช้ crypto เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 575 ล้านคน ขณะที่นวัตกรรมของบล็อกเชนในโลกคริปโตก็มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเหรียญเสมือนที่ผูกกับดอลล่าร์สหรัฐโดเมนและโซเชียลมีเดียบนบล็อกเชนที่พร้อมเปิดรับ web3
ในขณะที่เหรียญ stablecoin แบบดั้งเดิมอย่าง USDT และ USDC ยังคงครองอำนาจความเป็นเหรียญยอดนิยมต่อไป
ทั้งนี้แม้ว่าภาพรวมของอุตสาหกรรม crypto จะแสดงให้เห็นว่าการระดมทุนลดลงเหลือ 7.96 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังเผยให้เห็นถึงความสนใจที่ยั่งยืนในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบอนุพันธ์มากกว่าการซื้อขายแบบทันที
นอกจากนี้ ด้านระบบการรักษาความปลอดภัย ยังคงเป็นจุดสนใจที่สำคัญ โดยมีการสูญเสียทั้งหมดจากการถูกแฮ็กเกอร์โจมตีมีปริมาณลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตามยังเป็นข้อกังวลที่สำคัญ เมื่อพบว่ายังมียอดความสูญเสียจากการโจมตีของแฮ็กเกอร์ไม่น้อยกว่า 3.7 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่การเคลื่อนไหวด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับโุแลด้านสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบตลาด crypto ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา สถาบันการเงินเช่น PayPal และ Blackrock ก็ได้แสดงความสนใจเพิ่มขึ้นในการลงทุน crypto
FTX เข้าสู่กระบวนการศาล
Sam Bankman-Fried ผู้ก่อตั้งบริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล FTX ต้องเผชิญกับการพิจารณาคดีหลังการล้มละลายครั้งใหญ่ของบริษัทในเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยอัยการกล่าวหาว่า Bankman-Fried ใช้เงินทุนของลูกค้าเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของ FTX รวมถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยง การซื้ออสังหาริมทรัพย์ และการใช้เงินเพื่อหวังผลทางการเมือง
ในการตัดสินของศาลชั้นต้น Bankman-Fried ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อกล่าวหาทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกง การฉ้อโกง และการสมรู้ร่วมคิดทางอาญา หลังจากการพิจารณาคดีนานหนึ่งเดือนและการพิจารณาของคณะลูกขุนนานกว่าสี่ชั่วโมง ตอนนี้เขาเผชิญโทษจำคุกสูงสุด 110 ปี โดยมีกำหนดโทษจำคุกในเดือนมีนาคม 2567
ผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับ FTX นี้เกิดขึ้นเกือบหนึ่งปีหลังจากการล้มละลายของ FTX เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำกับดูแลที่เข้มงวด และการจัดการด้านจริยธรรมในพื้นที่ crypto ซึ่งเป็นแบบอย่างสำหรับสำหรับวิธีการจัดการกรณีที่คล้ายคลึงกันที่จะเกิดขึ้นในอุตฯคริปโตในอนาคต
ปัญหาด้านกฎระเบียบของ Binance
ในปี 2566 Binance หนึ่งในกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผชิญกับความท้าทาย ด้านกฎระเบียบที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่สำคัญอีกครั้งในภาพรวมตลาดสกุลเงินดิจิทัลสำหรับปีนี้ ล่าสุด Binance ยอมจำนนต่อข้อกล่าวหาและหลักฐานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) และกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการพิจารณาตามข้อฏกหมายของกระทรวงยุติธรรม (DoJ) ซึ่ง Binance ยอมรับว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงิน และการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา
CFTC ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และอนุพันธ์ รวมถึง Bitcoin ได้ทำการสอบสวน Binance ตั้งแต่ปี 2561 เรื่องการฟอกเงินและการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่อาจเกิดขึ้น โดยหลักฐานซึ่งถูกรวบรวมย้อนหลังไปหลายปีพบว่า Binance ปรับแต่งบัญชีเพื่อหลบเลี่ยงเส้นทางการเงินอย่างน้อย 10 พันล้านดอลลาร์ เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ จากการสอบสวนเหล่านี้ Binance ถูกกล่าวหาว่าจงใจหลีกเลี่ยงกฎหมายของสหรัฐอเมริกา และล้มเหลวในการดำเนินขั้นตอนการปฏิบัติตามที่ออกแบบมา เพื่อป้องกันและตรวจจับการจัดหาเงินทุนของการก่อการร้ายและการฟอกเงิน
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ Binance ได้ตกลงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่สำคัญ รวมถึงเพิ่มมาตรการในการตรวจจับและวิเคราะห์การต่อต้านการฟอกเงิน และสร้างกระบวนการตรวจสอบยืนยันตัวตนและพิสูจน์อัตลักษณ์ของลูกค้าหรือ KYC ที่เข้มงวด
"ฉางเผิง จ้าว" บอสใหญ่ผู้ก่อตั้ง Binance ลาออก
ฉางเผิง จ้าว (Changpeng Zhao) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “CZ” CEO และผู้ก่อตั้ง Binance ประกาศลาออก จากตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Binance ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2566 ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยยะสำคัญต่อภาพรวมของสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งการลาออกของ CZ เกิดขึ้นหลังจากข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ Binance และ CZ ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในหลายข้อกล่าวหา นอกจากนี้ ทางการสหรัฐยังได้กำหนดเงื่อนไขสำคัญในการบีบให้ CZ ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่จ่ายให้ทางการเป็นมูลค่ากว่า 4.3 พันล้านดอลลาร์ โดยข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการสอบสวน Binance หลายครั้งเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายต่างๆ รวมถึงการละเมิดการป้องกันการฟอกเงิน สถานการณ์ที่นำไปสู่การลาออกของ CZ มีความซับซ้อน โดยเกี่ยวพันด้านผลประโยชน์เชิงซ้อนกับหน่วยงานกำกับดูแลของหรัฐหลายแห่ง เช่น DoJ และ CFTC
แม้ว่าตลาดคริปโตจะมีความวุ่นวาย จากการลงจากเก้าอี้ของ ฉางเผิง จ้าว แต่ธุรกิจศูยน์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตจะล้มไม่ได้ ทำให้ Binance มีความจะเป็นที่จะต้องปรับรูปแบบองค์กรเพื่อความอยู่รอด และดำเนินธุรกิจต่อไปตามปกติ ซึ่งการเปลี่ยนเอา "ริชาร์ด เทง" ซึ่งมีประสบการณ์คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมการเงินของสิงคโปร์มานานนับสิบปี ช่วยกู้ศรัทธาและลดความหวาดกลัวของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ของการดำเนินกิจ และความเสียหายที่อาจซ้ำรอย FTX ลงไปได้บ้าง
ขณะที่การต่อสู้ฟ้องร้องทางกฎหมายระหว่าง Ripple Labs Inc. (XRP) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาด crypto ปี 2566 ซึ่งทำให้เกิดการตั้งคำถามมากมายต่อการมีอยู่ของสินทรัพย์ดิจัลและความยั่งยืน ตลอดจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบของสินทรัพย์ดิจิทัล
ในการพิจารณาคำตัดสินครั้งสำคัญ Analisa Torres ผู้พิพากษาเขต ของสหรัฐอเมริกา ตัดสินว่าการขายโทเค็น XRP ของ Ripple ในการแลกเปลี่ยนสาธารณะ ไม่ได้ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง ซึ่งคำตัดสินนี้ ถือเป็นชัยชนะทางกฎหมายครั้งสำคัญและเป็นครั้งแรกของบริษัทสกุลเงินดิจิทัล ที่มีต่อการต่อสู้ทางกฏหมายกับสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการพิจารณาคดีมูลค่าของ XRP ก็ตอบรับกระแสข่าวชัยชนะต่อ ก.ล.ต. ทันที ด้วยการปรับตัวพุ่งสูงขึ้น โดยคำตัดสินของศาล ซึ่งถ้าลงลึกในรายละเอียดข้อเท็จจริงของคดี Ripple ส่งผลต่อแนวโน้ม ที่จะมีอิทธิพลต่อการต่อสู้ทางกฎหมายของบริษัท crypto อื่น ๆ กับ SEC
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่า Ripple จะชนะทางคดีต่อ ก.ล.ต.ในข้อกล่าวหาทั้งหมด เพราะการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นทาง ก.ล.ต. ก็ได้รับชัยชนะในบางข้อกล่าวหาในกรณีเดียวกัน ศาลพบว่าการขาย XRP โดยตรงของ Ripple ให้กับนักลงทุนที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 728.9 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน และมีความผิดตามกฏหมาย ซึ่งทางการสหรัฐมีกำหนดการพิจารณาความผิดในคดีดังกล่าวของ Ripple ในวันที่ 23 เมษายน 2024
ทั้งนี้ผลของคดี Ripple มีผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามบังคับใช้ของ ก.ล.ต. ต่อการแลกเปลี่ยน crypto และตัวกลาง ทำให้เป็นเหตุการณ์สำคัญหนึ่งในปีนี้ที่อยู่ระหว่างการร่างกฏหมายและทบทวนกำหนดเขตการกำกับดูแลหลักทรัพย์ดิจิทัล
การพิจารณาคดีของ โด ควอน
ในปี 2566 การบริหารงานที่ผลิดพลาดของ Do Kwon อดีต CEO ของ Terraform Labs ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในโลกสกุลเงินดิจิทัล กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญในภาพรวมตลาดสกุลเงินดิจิทัลในปี 2565 และ 2566
โด ควอน และฮันชางจุน อดีตเจ้าหน้าที่การเงินของ Terraform Labs ถูกควบคุมตัวขณะพยายามขึ้นเครื่องไปยังดูไบ ก่อนที่จะถูกตัดสินจำคุก 4 เดือนฐานใช้หนังสือเดินทางปลอม โดยเจ้าหน้าที่มอนเตเนโกร พบว่าเขาถือหนังสือเดินทางปลอมในคอสตาริกา เอกสารหนังสือเดินทางผู้ประกอบธุรกิจเบลเยียม แล็ปท็อป และอุปกรณ์อื่นๆ อยู่ในกระเป๋าเดินทางของพวกเขา
การพิจารณาคดีในมอนเตเนโกรเป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายทางกฎหมายในวงกว้างสำหรับโด ควอน นอกเหนือจากการเผชิญข้อกล่าวหาในมอนเตเนโกรแล้ว เขายังถูกฟ้องในสหรัฐฯ อีก 8 กระทง ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงหลักทรัพย์ การฉ้อโกงทางธนาคาร การฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์ และการสมรู้ร่วมคิดในการหลีกเลี่ยงภาษีและการฟอกเงิน
ทั้งนี้คดีของ โด ควอน อยู่ระหว่างคำตัดสินของศาลมอนเตเนโกร ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไม่ว่าจะไปยังเกาหลีใต้หรือสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังต้องเผชิญข้อหาปลอมเอกสาร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิพากษาและอาจต้องโทษจำคุก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางกฎหมายของ Do Kwon และผลกระทบจากการปรับแต่งค่าการแปลงเหรียญ LUNA ของเขาจนทำให้ธุรกิจล้มละลาย สะท้อนถึงธรรมาภิบาลในอุตสาหกรรมคริปโตและความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและความโปร่งใสภายในอุตสาหกรรม crypto ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความโดดเด่นมากขึ้นในปีนี้ในการทบทวนภาค crypto ของทั้งผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด
Bitcoin ฟื้นพุ่งสูงกว่า $40,000
ตลอดปี 2023 Bitcoin กลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยทะยานขึ้นเหนือระดับ 40,000 ดอลลาร์ได้อย่างน่าประทับใจภายในเดือนธันวาคม โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน โดยปิดราคาในปี 2566 ที่ $42,560 ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการคาดหวังการยอมรับบิทคอยน์เพื่อการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการเตรียมอนุมัติสปอต bitcoin ETF ของกองทุนขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา หรือ ก.ล.ต. สหรัฐ
ดังนั้นในปี 2566 นี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นปีที่ดีอย่างน่าประหลาดใจสำหรับ Bitcoin ซึ่งได้เห็นการก้าวกระโดดมากกว่า 130% นับตั้งแต่ต้นปี กลับมาแซงหน้าสินทรัพย์แบบดั้งเดิม เช่น ทองคำ และ S&P 500 INDEX
นอกจากนี้ ส่วนแบ่งของ Bitcoin ในตลาดสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน จาก 38% เป็นมากกว่า 50%
การฟื้นตัวนี้เป็นไฮไลท์สำคัญในปี 2566 นี้ ทำให้กลุ่มนักลงทุนต่างๆหันกลับมามองและทบทวนตลาดสกุลเงินดิจิทัล และชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ
Bitcoin ETF การดิ้นรนเพื่อสร้างการยอมรับ
การนับเวลาถอยหลังที่จะอนุมัติ Bitcoin Sport ETF ในสหรัฐอเมริกาเป็นประเด็นสำคัญในภาพรวมตลาด crypto ปี 2566 โดย ณ เดือนธันวาคม 2566 ผู้จัดการสินทรัพย์หลายรายได้ยื่นข้อเสนอเปิดขาย Bitcoin Sport ETF โดยกลุ่มกองทุนที่สำคัญซึ่งมีบทบาทในโลกคริปโต ได้แก่ BlackRock, Fidelity, VanEck, ARK invest , 21Shares และอื่นๆ อีกมากมาย
บริษัทเหล่านี้มีส่วนร่วมในการหารือและจุดยืนร่วมกันกับกับ SEC โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญ เช่น การจัดการด้านการดูแล การเปิดเผยความเสี่ยงของนักลงทุน และกลไกการสร้างและการไถ่ถอน ETF
การอนุมัติ Bitcoin ETF คาดว่าจะเปิดประตูให้โลกการลงทุนในวงกว้างขึ้น รวมถึงนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เพื่อให้ได้รับการการันตีความน่าเชื่อถือ และการกำกับความเสี่ยงของ Bitcoin ในกรอบการทำงานที่ได้รับการควบคุม โดยไม่ต้องยุ่งยากในการจัดการกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือจัดการกับการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล
ในอดีต ก.ล.ต. ไม่เชื่อเกี่ยวกับ Bitcoin ETFs โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการปั่นป่วนของตลาดคริปโตและความจำเป็นในการคุ้มครองนักลงทุนอย่างเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม คำตัดสินที่สนับสนุนการยื่นขออนุมัติของ Grayscale โดยศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ในปี 2566 ซึ่งศาลลงความเห็นว่า การปฏิเสธการสมัคร ETF ของ Grayscale โดย SEC นั้นไม่ยุติธรรม ส่งผลให้มีทัศนะเชิงบวกสำหรับการอนุมัติของ Bitcoin Sport ETF ที่อาจเกิดขึ้น
การอนุมัติ Bitcoin ETF จะถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือของตลาด crypto ในปี 2566 และเริ่มซื้อขายได้ในปี 2567 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการเติบโตของตลาด cryptocurrency และอาจเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพและแนวโน้มที่สังเกตได้ในอุตสาหกรรมในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา : cryptonews