นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH ได้จัดงานสัมมนา SCB Investment Forum For Wealth 2024 โดยได้รับเกียรติจากพันธมิตรทางธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ระดับโลก ได้แก่ Blackrock, Amundi และ Schroders มาร่วมเปิดมุมมองการลงทุน ในหัวข้อ Net Zero 2050 กับธุรกิจ Wealth ในประเทศไทย เพื่อสะท้อนให้เห็นพัฒนาการด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ที่ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายภายในปี 2050 ควบคู่กับการให้ความสำคัญ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมองว่าการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นอย่างเด่นชัดในทุกๆ ปี เพราะทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างตระหนักให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจังกันมากขึ้น
ทั้งนี้ SCB WEALTH มีการนำเรื่อง ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งด้านการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ และการให้คำแนะนำการลงทุนกับลูกค้า พร้อมมีแผนขยายการลงทุนทางด้านนี้เพิ่มขึ้นผ่านการนำเสนอกองทุนรวมที่มุ่งสร้างผลตอบแทนเชิงบวก สำหรับการลงทุนสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG ล่าสุด ได้สนับสนุนการจำหน่ายกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่คัดสรรให้นักลงทุนได้เลือก 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM (Thai ESG) ลงทุนแบบผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ 2) กองทุน SCBTA (Thai ESG) ลงทุนหุ้นไทยแบบ Active และ3) กองทุน SCBTP (Thai ESG) ลงทุนหุ้นไทยแบบ Passive ซึ่งเชื่อว่ากองทุน Thai ESG นี้ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่ช่วยให้ผู้ลงทุนได้มีส่วนร่วมสร้างผลเชิงบวกต่อโลก ทั้งยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว จากการลดความเสี่ยงจากประเด็นเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อีกด้วย
นายธณาพล อิทธินิธิภัค Director and Head of Thai Business, Blackrock กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนยั่งยืน โดยเรามีระบบช่วยในการวิเคราะห์ด้านความเสี่ยงบริหารพอร์ตการลงทุนและเทรดสินทรัพย์ต่างๆ (Aladdin) ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทต่างๆ โดยเราพบว่าในระยะข้างหน้าบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อยอดขายในระดับสูงจะมีแนวโน้มในการทำกำไรที่ต่ำเมื่อเทียบกับปริษัทที่มีการปล่อยก๊าซที่น้อยกว่า ทั้งจากเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากนโยบายของภาครัฐ ดังนั้น การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจึงเป็นแนวโน้มที่จะได้เห็นในทศวรรษต่อจากนี้
ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในพลังงานสะอาดทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มเป็น 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2573 จากสิ้นปี 2565 มีการลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีต้นทุนต่ำลงและน่าสนใจ ซึ่งในเอเชียมีบริษัทที่ทำธุรกิจนี้ค่อนข้างมากและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น จีน มีบริษัทผลิตแผงโซลาร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีแหล่งผลิตนิกเกิลและลิเธียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาด คิดเป็นสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของโลก Korea มีแหล่งผลิตพลังงานลมขนาดใหญ่ Australia มีการมุ่งเน้นพัฒนา Battery storage เป็นต้น
นายวีรวัฒน์ คิรินทร์รัตนะ Head of Distribution Sales Thailand, Amundi กล่าวว่า ในทุกภาคส่วนของไทย ทั้งรัฐบาลและเอกชน เริ่มตื่นตัวกับกระแสการดำเนินงานที่มุ่งสู่ Net Zero มากขึ้น ขณะที่กระแสการลงทุนใน ESG เราพบว่า ในปี 2565 มากกว่า 60% ของเงินลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (ETF) จะอยู่ในกองทุนที่คำนึงถึงประเด็น ESG ส่วนผลิตภัณฑ์ ETF ใหม่ๆ ที่ออกมาในปี 2565 เป็น ETF ด้าน ESG ถึง 77% ขณะที่เรามองว่าการลงทุนผ่านกองทุนที่คำนึงถึงเรื่อง ESG จะทำให้นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนพร้อมกับการสร้างความยั่งยืนให้โลกได้ โดยผู้จัดการกองทุนของเรามองว่า การลงทุนบนธีม ESG ควรกลายเป็นเงินลงทุนส่วนหลักของพอร์ต ไม่ใช่เพียงการลงทุนในธีมเฉพาะทางที่เป็นส่วนเสริมของพอร์ตอีกต่อไป
นายอาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business, Schroders กล่าวว่า เรามองว่า ในอนาคต Fund Fact Sheet ของกองทุนรวมต่างๆ ในไทยต้องนำประเด็น ESG มาเผยแพร่เพิ่มเติม จากปัจจุบันเผยแพร่เพียงลงทุนอะไร มีสินทรัพย์ประเภทไหนบ้าง ลงทุนประเทศต่างๆ สัดส่วนเท่าไหร่ และผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร เพราะประเด็น ESG เป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มาพร้อมโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 4 ด้านที่มีผลต่อมูลค่าธุรกิจ ได้แก่ การกำกับ หากบริษัทใดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าที่ดูดซับได้ อาจจะต้องชดเชยด้วยคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท ด้านเทคโนโลยีที่บริษัทต้องลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งบริษัทที่ธุรกิจด้านพลังงานดั้งเดิม เช่น พลังงานจากฟอสซิลต้องมีการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อเข้าสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น มิฉะนั้นจะกระทบกับ Valuation และด้านความเสี่ยงทางกายภาพ กรณีที่ปรับตัวช้าทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระทบเชิงกายภาพ บริษัทได้รับผลกระทบตามด้วย
ในส่วนของนักลงทุน แม้การลงทุนโดยพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญมากขึ้น แต่จำนวนบริษัทที่มุ่งเน้นไปสู่ง Net Zero ปัจจุบันอาจจะมีสัดส่วนหรือจำนวนที่ยังไม่มากนักเพียงพอให้เลือกลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม หากมีการลงทุนโดยมุ่งเน้นเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียวอาจจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทน และความเสี่ยงของการลงทุนที่กระจุกตัวจนเกินไป จึงควรมีการปรับพอร์ตแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยควรผสมผสานลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินการที่ดีด้านนี้ และบริษัทที่แม้ว่ายังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่อยู่ในขั้นปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซ เพื่อให้มีจำนวนบริษัทที่ลงทุนได้มากขึ้น ทั้งยังเกิดประโยชน์ ด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับด้านเม็ดเงินลงทุนเพื่อพัฒนาปรับปรุงบริษัทไปสู่ Net Zero ด้วย