ประเมินทิศทางธุรกิจ “บ้านปู” เมื่อราคาถ่านหินปรับลด กดผลประกอบการ จนเปิดช่องถูกกระหน่ำขายผ่านโปรแกรมเทรดดิ้ง นักลงทุนจับตาหาจุดต่ำสุด หลังหลายรายติดดอยเพราะช้อนเก็บช่วงต้นทุนสูง ขณะภาพรวมทิศทางธุรกิจแข็งแกร่งแม้ไม่โดดเด่นเท่าปี65 โบรกฯคาดประคองตัว ส่วนกำไรลดจากต้นทุนที่สูงขึ้น
แม้เพิ่งจะประกาศข่าวดี บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ระดับโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) แต่สถานการณ์ที่นักลงทุนเฝ้าติดตามในช่วงเวลานี้ของ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) น่าจะเป็นทิศทางราคาหุ้น และแนวโน้มของธุรกิจมากกว่า
ทั้งที่ ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ รวมทั้งเป็นดัชนีที่กองทุนต่าง ๆ จากทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการพิจารณาการลงทุน เพื่อการสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนให้แก่นักลงทุน รวมถึงการสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย
กว่า 1 ปีราคาลดลงต่อเนื่อง
นั่นเพราะ นับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งราคาหุ้นบ้านปู เคลื่อนไหวแถว 14.00 – 15.00 บาท แต่จากนั้นทิศทางของราคาหุ้นเคลื่อนไหวในขาลงมาโดยตลอดจนต่ำสุดที่ระดับ 6.45 บาท/หุ้น ในช่วงเวลานี้ และยังต้องลุ้นว่าราคาหุ้นจะกลับไปทำสถิติที่ต่ำกว่านี้ที่ระดับประมาณ 4.00 บาท/หุ้น ซึ่งเคยเกิดขึ้นช่วงมีนาคม 2563 หรือไม่?
ถูก ROBOT โจมตี
ขณะเดียวกันอีกประเด็นที่น่าสนใจ สำหรับหุ้น “บ้านปู” หนีไม่พ้น การถูกโปรแกรมเทรดดิ้ง (ROBOT) เข้าโจมตี เนื่องจาก นับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดข้อมูลการซื้อขายของ ROBOT เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่าปรากฏการณ์ที่นักลงทุนได้เห็นคือ การโจมตีหุ้นรายตัวและ BANPU คือหนึ่งในหุ้นที่หลายคนเชื่อว่าเป็นผู้ถูกกระทำ
โดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหุ้นของ ROBOT เฉลี่ยวันละประมาณ 40% ของมูลค่าซื้อขายโดยรวมทั้งตลาด แม้ภาพการชี้นำทิศทางตลาดโดยรวมอาจไม่ปรากฏชัดนัก แต่ภาพการชี้นำความเคลื่อนไหวหุ้นรายตัวเกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 66 มีรายงานว่า หุ้นในกลุ่มพลังงานตกเป็นเป้าหมายในการทำชอร์ตเซล โดยหุ้น BANPU มีปริมาณการขายชอร์ตมากที่สุด จำนวน 34.77 ล้านหุ้น ถือเป็นมูลค่าการขายชอร์ตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 สูงถึง 247.42 ล้านบาทในวันดังกล่าว โดยนักลงทุนในประเทศขายที่ราคา 7.13 บาท ต่างชาติขาย 7.09 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดการซื้อขายบนกระดานหลักที่ 7 บาท จึงรับกำไรกลับไป 0.13 บาท และ 0.09 บาท ตามลำดับ
กองทุนปรับพอร์ต MSCI
อย่างไรก็ตามยังมีอีกประเด็นที่หลายฝ่ายให้น้ำหนักต่อการปรับลดลงของราคาหุ้น BANPU นั่นคือ การเทขายหุ้นโรงไฟฟ้าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเทขายของบรรดากองทุนเพื่อปรับพอร์ตตามดัชนี MSCI Global Standard โดยปรากฏว่าในช่วงเวลานั้น หุ้นโรงไฟฟ้าราคาลดลงทุกบริษัท ได้แก่ RATCH ลดลง 7.14% BGRIM ลดลง 5.61% BANPU ลดลง 3.25% EGCO ลดลง 3.73% และ EA ลดลง 3.78%
ปี 67 ยังเติบโตแต่ไม่เท่าปี 65
ทั้งนี้ ช่วงเดือนก่อนหน้า (พฤศจิกายน 66) นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู (BANPU) แสดงความเห็นถึงแนวโน้มรายได้ปี 2567 คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าของ บมจ. บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ที่คาดว่าจะเติบโตตามกำลังการผลิตใหม่ที่จะทยอยเพิ่มเข้ามา นั่นเพราะธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ คาดว่าราคาก๊าซฯ ในไตรมาส 4/66 ไปจนถึงปี 2567 จะปรับตัวสูงขึ้น ยืนเหนือระดับ 3 เหรียญสหรัฐต่อล้านลูกบาศก์ฟุต ส่วนราคาถ่านหิน คาดว่าดีมานด์จะสูงขึ้น ท่ามกลางซัพพลายยังไม่เพิ่มมากนัก คาดเฉลี่ยที่ 120-140 เหรียญสหรัฐต่อตัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปี 2566 แต่คงไม่เติบโตเท่าปี 2565 ที่บริษัทมีผลงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้จากการขายรวม 7,693 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.72 แสนล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 3,916 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.37 แสนล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิ 1,162 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4.05 หมื่นล้านบาท
“ปัจจัยขับเคลื่อนการดำเนินงานในปี2567 บริษัทมีผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้ารับรู้รายได้เพิ่มขึ้น และธุรกิจไฟฟ้าหลายแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เริ่มทยอยสร้างรายได้ เช่น ในออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน ในปีหน้าบริษัทยังมีศักยภาพที่จะเดินหน้าขยายการลงทุนได้เต็มที่ โดยเตรียมงบลงทุนสำหรับปี 2566-2568 ไว้ที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังเพียงพอต่อการขยายการลงทุน รวมถึงจะเห็นโอกาสจากการลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมมากขึ้น”
นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทได้เตรียมความพร้อมทำประกันความเสี่ยงรองรับความผันผวนจากราคาพลังงานไว้แล้ว เช่น ราคาก๊าซฯ ได้ทำประกันความเสี่ยงไปแล้ว 50% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ส่วนราคาถ่านหิน ที่มีการขายล่วงหน้าในช่วง 6 เดือนแรกปี 2567 ก็ได้ทำประกันความเสี่ยงไว้บ้างแล้ว เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน
BPP เติบโตก้าวกระโดด
ขณะที่นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BPP แสดงความเห็นว่า ในปี 2567 คาดว่ายังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายลงทุนโครงการใหม่ ๆ เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าในพอร์ต โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่จะเกิดขึ้นตามแผนตั้งเป้ากำลังการผลิตที่ระดับ 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,685 เมกะวัตต์ นั่นหมายถึงยังขาดอยู่อีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ จึงอยากให้จับตาดูการเข้าซื้อกิจการในสหรัฐฯ เพิ่มเติม
นอกจากนี้ BPP ยังพิจารณาการขยายลงทุนโครงการเพิ่มเติมในประเทศไทย ลาว จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่บริษัทมีฐานการลงทุนอยู่แล้ว เพราะมองว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ขณะเดียวกัน BPP มีมาตรการบริหารความเสี่ยงเพื่อรักษากระแสเงินสดโดยใช้เครื่องมือทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการทำประกันราคาสำหรับโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งนี้ด้วยกำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 50% ของกำลังผลิตทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/66 ถึงไตรมาส 4/67 เพื่อป้องกันความผันผวนของรายได้แม้ไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น
ส่วนในปี 2566 บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ประมาณ 70% โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้จำนวน 2.54 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 5.73 พันล้านบาท ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้ 2.29 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5.55 พันล้านบาท
โดยผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรม Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯซึ่งหนุนกำไรให้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ราคาถ่านหินลดจุดชนวนแรงขาย
ทั้งนี้ จากทิศทางธุรกิจของบริษัทที่นำเสนอถึงโอกาสในการเติบโต แต่ราคาหุ้นกลับเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงในปัจจุบัน นั่นทำให้น้ำหนักที่นักลงทุนจะเชื่อว่าราคาหุ้น BANPU ถูกโจมตีโดยโปรแกรมเทรดดิ้งนั้นมีมากกว่าเหตุผลอื่นๆ เมื่อ ราคาหุ้น BANPU ออกอาการไม่ดี ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม โดยราคาปิดที่ 7.45 บาท ลดลง 5 สตางค์ และลดลงต่อเนื่อง จนวันที่ 7 ธันวาคม ราคารูดลงหนัก เพราะถูกโจมตีด้วยโปรแกรมเทรดหรือ ROBOT โดยราคาปิดที่ 7.00 บาท ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่พุ่งพรวด เป็น 1,741.35 ล้านบาท ซึ่ง ROBOT มีสัดส่วนซื้อขายถึง 37.48%
จากนั้น BANPU ยังถูกทุบลงต่อเนื่อง จนล่าสุดวันที่ 12 ธันวาคมลงมาปิด ที่ 6.60 บาท ลดลง 15 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 788.45 ล้านบาท
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการประเมินว่าการถล่มขาย BANPU เกิดจากราคาถ่านหินในตลาดโลกลดลง จนคาดว่า ไตรมาสที่ 4 ผลประกอบการอาจชะลอตัวลงต่อเนื่อง หลังจากงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ผลประกอบการชะลอตัวลง โดยกำไรสุทธิลดเหลือ 6.62 พันล้านบาท จากระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4.07หมื่นล้านบาท และเป็นแนวโน้มผลประกอบการที่ไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว
ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นปักหัวสู่ขาลงเต็มตัว ทำให้ ROBOT เห็นโอกาส และบุกเข้ามาโจมตี ถล่ม BANPU ซ้ำเติม จนนักลงทุนรายย่อยร้องโอดครวญกันลั่น เพราะส่วนใหญ่ติดหุ้นต้นทุนสูง ถือไว้ตั้งแต่ราคากว่า 10 บาท แถมยังซื้อ ถัวเฉลี่ยต้นทุนเรื่อยมา ลงมา 9.00 บาท รวมถึงการช้อนหุ้นในช่วง 8.00 บาทก็ทยอยเก็บ แต่ทุกราคาที่ซื้อไว้ ขาดทุนหมด
ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน BANPU ถือว่ายังดีอยู่ ค่าพี/อี เรโชเพียง 10.42 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 14.18% ราคาหุ้นจึงอยู่ในข่ายที่น่าสนใจ เพราะเงินปันผล คุ้มมาก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ แนวโน้มผลประกอบการ ถ้ากำไรชะลอตัวต่อเนื่อง ค่าพี/อี เรโชจะสูงขึ้น และอัตราเงินปันผลจะลดลง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์ 9 สำนัก ได้ประเมินราคาเป้าหมายหุ้น BANPU ไว้ โดยราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 8.67 บาท มีบางโบรกเกอร์ตั้งราคา เป้าหมายสูงสุดที่ 10.40 บาท แต่บางโบรกเกอร์ตั้งราคาเป้าหมายไว้เพียง 7 บาท ส่วนความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ 3 แห่งแนะให้ซื้อ 3 แห่งแนะให้ถือ และอีก 2 แห่งแนะให้ขาย
ดังนั้น BANPU กำลังเจอมรสุมหนัก ผลประกอบการปีนี้ย่ำแย่ กำลังหด และตกเป็นเป้าหมายโจมตี จนราคาทรุดลงมาสู่จุดต่ำสุดใหม่ในรอบหลายปี จนนักลงทุนบางส่วน อดใจไม่ไหว โดยเข้าไปช้อนซื้อ หวังว่าราคาจะเด้งขึ้น แต่กลับทรุดลงต่อ จนเริ่ม ถอดใจกันบ้างแล้ว เพราะเข้าไปรับราคาไหนก็เจ็บตัวหมด ช้อนซื้อจนเงินหมดไปตามๆ กัน
ที่ผ่านมา BANPU จัดเป็นหุ้นเก็งกำไรยอดนิยมตัวหนึ่ง จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 89,650 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 90.79% โดยกลุ่มว่องกุศลกิจถือหุ้นรวมกันประมาณ 10% เพราะทยอยขายหุ้นออกต่อเนื่อง ซึ่งรายย่อยเข้ามารับหุ้นแทน โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนเฉียด 1 แสนราย ส่วนใหญ่น่าจะติด BANPU อยู่บนดอย ราคาที่ทรุดหนักมาถึงขนาดนี้ คงทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีความกังวล
ขณะที่การจะตัดสินใจขายขาดทุนหนีออกจาก BANPU ตอนนี้ อาจสายไปนิด เพราะ ขาดทุนจนทำใจยอมรับไม่ได้ ทำให้ส่วนใหญ่จึงสมัครใจสู้ต่อ กัดฟันถือ BANPU ต่อ
ทิศทางธุรกิจระยะยาวยังสดใส
ก่อนหน้านี้ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า ประเมินทิศทางการดำเนินธุรกิจของบ้านปู ว่า ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ประเมินว่าธุรกิจไฟฟ้าจะชะลอตัว เนื่องจาก Heat Wave ในสหรัฐฯ สิ้นสุด และแผนปิดซ่อมบำรุงของ Temple I & II รวมทั้งราคาถ่านหิน ที่ลดลงจากอุณหภูมิยังไม่หนาวเย็น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรของบริษัทจะเป็นไปในลักษณะประคองตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณขายถ่านหิน ITM สูงขึ้น แผนย้ายหน้างาน LW Relocation ของ CEY ลดลง รับรู้การปรับขึ้นสัญญาราคาถ่านหินในประเทศของ CEY เต็มไตรมาส รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นช่วง High Season ของอุปสงค์ และแผนปิดซ่อมโรงไฟฟ้าหงสาลดลง
ทำให้ปรับสมมติฐานปี 2566 – 2567 ให้ระมัดระวังมากขึ้น และสะท้อนงบ 9M66 ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีจ่ายสูงกว่าคาด และปัญหาธรณีวิทยาของ CEY ส่งผลให้ปริมาณผลิตถ่านหินต่ำกว่าคาด และต้นทุนผลิตสูงกว่าคาด โดยปรับกำไรสุทธิปี 2566 – 2567 ลง 10-28% เป็น 9.4 พันล้านบาท และ 8.5 พันล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนการเริ่มเปิดใช้งานโครงการ CCS แห่งแรก (Barnett Zero) ความสามารถการกักเก็บคาร์บอน 2.1 แสนตัน/ปี) ยังเป็นไปตามกำหนดช่วง 4Q66 (ความคืบหน้ากว่า 90%) แม้กำลังผลิตไม่สูงมาก และไม่ส่งผลต่อฐานรายได้ – กำไรในปัจจุบันอย่างมีนัยยะ อย่างไรก็ตาม มองว่าโครงการ CCS เป็นเทคโนโลยีสาคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานในอนาคต โดย BANPU จะเป็นบริษัทไทยรายแรกที่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าว
และภายหลังเปิดใช้งานแล้วจะสามารถรับรู้รายได้ตามแผน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้นนำไปสู่การ Scale-up โครงการถัดไปๆ ช่วยเพิ่มสัดส่วน และความสำคัญต่อฐานกำไรรวม