ในบรรดาผู้ประกอบการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทยแล้ว บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำที่เติบโตมาจากธุรกิจการพัฒนาอาคารชุด โดยก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2532 และหลังจากนั้นในปี 2535 ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1,000,000 บาท โดยบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 99.88 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้บริการด้านธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการบริหารอาคารแก่นิติบุคคลอาคารชุดของโครงการต่างๆ ที่บริษัทและบริษัทย่อยพัฒนาขึ้น เป็นการให้บริการหลังการขาย และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพชีวิตของลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัท ถือเป็นนโยบายในการสร้างความแตกต่างและเป็นจุดแข็งในการแข่งขัน
และในปี 2564 บริษัท ลุมพินีฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด" โดยยังคงใช้ชื่อย่อ “LPP” เช่นเดิม จนในปัจจุบัน LPP มีพอร์ตงานบริหารจัดการโครงการทั้งอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงานมากที่สุดในระบบถึง 300 โครงการ แบ่งเป็นบริหารคอนโดมิเนียมมากถึง 250 นิติบุคคลอาคารชุด และบ้านจัดสรรประมาณ 30-50 นิติบุคคล ทั้งในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
"ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา หลักๆ เราจะบริหารนิติบุคคล ทำธุรกรรมเรื่องฝากขายและเช่า แต่การที่ LPP ขยายตัวออกจากบริษัทแม่ เพื่อสร้างมั่นคงและสร้างธุรกิจให้ครบวงจร ไม่ต้องการให้เกิดภาพจำแบบเดิมๆ หากจะเปรียบไปแล้ว LPP ที่อยู่ในวงการมาถึง 30 ปี ก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีพลัง มีความแข็งแกร่ง มีสุขภาพที่ดี และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ ขณะที่ในแต่ละปีมูลค่าตลาดการบริหารโครงการสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า ธุรกิจใหม่ๆ ที่ LPP เข้าไปลงทุนเพื่อสร้าง New S-Curve ทั้งในเรื่องการมีโปรดักต์ มีบริการใหม่ๆ สร้างโอกาสให้ LPP มีผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น ทำให้แอสเสทมีการขยายตัวและเติบโตได้ดี ตามแผน ที่เราจะก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชน จะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน จาก 150 ล้านบาท เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท" นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP กล่าว
โดยความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ LPP คือ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้ขยายงานบริการด้านวิศวกรรม รับผิดชอบในการให้บริการด้านวิศวกรรมอาคารชุด ตามความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่การดูแล ควบคุม การบำรุงรักษา การซ่อมแซมอาคารชุด เช่น งานระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบปรับอากาศ และงานทาสีอาคาร เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้ขยายงานบริการ การบริหารโครงการก่อสร้างให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯทั่วไปและบริษัทในเครือ งานด้านงานบริการชุมชน ดูแลรักษาความสะอาด และงานรักษาความปลอดภัย ที่ดำเนินงานโดย บริษัท แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS)
"ปัจจุบันโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ LPP ยังคงเน้นงานด้านบริหารนิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 60 งานด้านวิศวกรรมร้อยละ 20 งานด้านรักษาความปลอดภัยและงานบริการทำความสะอาดร้อยละ 20 ส่วนในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนงานด้านวิศวกรรม งานด้านรักษาความปลอดภัยและงานบริการทำความสะอาด (แม่บ้าน) รวมเป็นร้อยละ 50 เพราะมองเห็นเทรนด์อาคารที่ก่อสร้างมานานกว่า 10 ปี จะต้องมีการปรับปรุง ดูแล ซ่อมแซมโครงสร้างภายในอาคารเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งวางแผนจะขยายการรับงานไปต่างจังหวัดเพิ่มในปี 2567 โดยเน้นจังหวัดที่บริษัทแม่ แอล.พี.เอ็นฯ ได้เข้าลงทุนและพัฒนาโครงการไปแล้ว เช่น จังหวัดชลบุรี อุดรธานี และหัวหิน เป็นต้น"
ล่าสุด บริษัทได้เข้าไปลงทุนและถือหุ้นในบริษัท พี ดับบลิว กรุ๊ป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (PW Group) ในสัดส่วน 60% ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างมากในธุรกิจเกี่ยวกับงานระบบไฟฟ้าประปา และระบบปรับอากาศภายในอาคาร ที่ผ่านมา เป็นผู้ให้บริการกับโครงการของ LPN และยังขยายบริการให้โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา PW Group สามารถทำรายได้สูงถึง 80 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 130 ล้านบาท
รวมทั้งได้ร่วมมือกับบริษัทบริษัท ซลีปชาร์จ จำกัด ในการขยายโซลูชันด้านบริการจุดชาร์จรถ EV สำหรับคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัยร่วมโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันให้แก่ผู้อยู่อาศัยภายในโครงการที่ LPP ดูแล
ล่าสุด ได้นำร่องติดตั้งสถานีชาร์จในโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้การบริหารจัดการของ LPP ไปแล้วจำนวน 7 โครงการ หรือ 14 เครื่องชาร์จ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 20 โครงการ และเพิ่มเป็น 100 โครงการในปี 2567
นอกจากนี้ LPP ยังมองเห็นโอกาสในเรื่องการลงทุน โดยผลงานล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้เข้าบริหารจัดการหอพักนิสิต ในรูปแบบสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาปรับปรุง (Renovate) พร้อมการบริหารจัดการพื้นที่หอพัก U-Center 1 และ 2 ด้วยงบลงทุนตลอดระยะสัญญากว่า 150 ล้านบาท ในการปรับปรุงอาคารและตกแต่งห้องพัก โดยมีสัญญาบริหารโครงการถึงเดือน พ.ค.2574 และเราจะขยายโมเดลดังกล่าวไปสู่หอพักอื่นๆ
นายสุรวุฒิ กล่าวทิ้งท้ายถึงผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,550 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 1,200 ล้านบาท และตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 140 ล้านบาท จากที่ทำกำไรได้ในปี 65 ที่ 125 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้และกำไรเพิ่มขึ้น 20%